The Alami Report
Home   /   The Alami Report  /   วิกฤติแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 จะทำให้โลกเราเปลี่ยนไปตลอดกาล

IR Court of future
by : Nazri Ekthawat Mukem

 

วิกฤติแพร่ระบาดไวรัส COVID-19

จะทำให้โลกเราเปลี่ยนไปตลอดกาล

               สำนักข่าวอะลามี่ : หลายคนยังคงพูดถึงการที่จะกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติ หลายคนอาจมองว่า การแพร่ระบาดเชเอไวรัสในครั้งนี้ มันไม่ได้รุนแรงอะไร เมื่อเปรียบเทียบได้กับโรคซาร์และไข้หวัดใหญ่ 2009 ก่อนหน้านี้..เดี๋ยวมันก็คงผ่านไป และอะไรๆมันคงกลับมาดีดังเดิม


              แต่อีกมุมบางคนก็มองว่า การเจ็บแต่จบ คือการปิดประเทศครั้งเดียว ให้คนติดแค่ภายในประเทศ และมองไปยังอู่ฮั่นโมเดล ว่า ประเทศจีน มีเสถียรภาพในการจัดการไวรัสและสามารถทำให้ไวรัสหายไปได้

              แต่อย่าลืมว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่ประเทศไทย และการจัดการเรายังคงเปรียบเทียบกับจีนไม่ได้แบบสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับขนาดทุนและศักยภาพทางเศรษฐกิจ ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนถึงกับออกมาพูดว่า..เราจะอยู่กับโรคระบาดเช่นนี้ ไปอีกอย่างน้อย 1ปี และจะหยุดได้ต่อเมื่อมีการป้องกันด้วยวัคซีนด้วยเท่านั้น

             เรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่บนโลกและจะเกิดขึ้นซ้ำเสมอๆ เพียงแต่รูปแบบแตกต่างกันออกไป เมื่อเปรียบเทียบกับความรุนแรงของโรคระบาดในโลกที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์แล้ว เปรียบได้กับ ไข้หวัดสเปน (Spain influence) เมื่อประมาณ 100 ปี ก่อน ซึ่งแน่นอน คนจะนึกถึงเหตุการณ์ที่ใกล้ตัวเป็นอันดับแรก และเปรียบเทียบว่ามันไม่ได้รุนแรงอะไรมาก นั่นถือเป็นสิ่งที่พลาดมหันต์ในการคิดจัดการ 

           อนาคต ..หากเราไม่สามารถทำให้มันหมดไปได้ แต่เราสามารถอยู่กับมันได้ เหมือนโรคต่างๆ

          บนโลกนี้ที่มีวัคซีนเกิดขึ้น คำถามที่ตามมาก็คือ เมื่อไหร่ ? ตอนไหน ? อีกนานไหม?

           คำตอบก็คือ กว่าบุคลาการทางการแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ จะสามารถผลิตวัคซีนได้นั้นจะต้องใช้วิธีการระบุสายพันธุ์และที่มาของไวรัส(Novel of virus) ซึ่งการค้นคว้าวัคซีนเหล่านี้ใช้เวลาเป็นปีๆ แต่อย่างไรก็ตามโลกนี้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงทางด้านวิวัฒนาการการรักษาอยู่ตลอด อาจจะใช้เวลาไม่ถึงปีในการค้นคว้าวัคซีนป้องกันโรค COVID-19

           เมื่อคำนวณถึงความเสียหายในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แน่นอนประเทศไทย ที่มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเต็มๆ ถึงแม้ช่วงแรกจะยังไม่มีมาตรการในการปิดประเทศ แต่ก็ได้รับผลกระทบไปแบบทางอ้อมนั่นคือ ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติรายอื่นเข้ามา ทำใหกระทบกับภาคธุรกิจการท่องเที่ยวแบบเห็นได้ชัด

           เนื่องจากบางธุรกิจและบางสินค้า มีกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่แตกต่างกัน มิใช่เพียงแต่คนจีนเท่านั้น แต่การที่จะพูดถึงความหละหลวมเหล่านี้ ที่นำพาประเทศไทยให้มาถึงจุดนี้ได้ ก็ดูเหมือนจะสายเกินแก้ไปแล้ว เราจะไม่พูดถึงอีก

          แต่สิ่งที่เราต้องพูดตอนนี้ก็คือ มาตรการหลังจากนี้ การมองไปถึงอนาคต (Future management) และการจัดระเบียบโลกใหม่ เดินทางข้ามประเทศจะไม่ใช่แค่การขอวีซ่าอีกต่อไป และการเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคระบาด จากการเปลี่ยนแปลงของโลก เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยขึ้น อาจจะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างง่ายขึ้นมากกว่าเดิม

          แต่กระนั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับหลังจากนี้ก็คือ ความเปลี่ยนแปลง และวิถีชีวิตของมนุษย์โลกหลังจากนี้ ที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าอนาคตเราจะอยู่กับมันได้อย่างไร 

         แน่นอน หลังจากที่โลกค้นพบวัคซีนสำหรับโรคใหม่ชนิดนี้แล้ว รัฐอาจจะอนุมัติงบประมาณในการจัดซื้อวัคซีน เพื่อมาใช้กับในประเทศของตัวเอง แต่คำถามคือ จำนวนวัคซีนของประเทศที่สามารถผลิตได้ ยกตัวอย่างเช่นจีน หรือสหรัฐ ก็คงมีจำนวนวัคซีนไม่เพียงพอสำหรับขายให้ประเทศอื่นอย่างแน่นอน

            ซึ่งสิ่งที่รัฐควรจะทำก็คือการระดมทุนการสร้างโรงงานและสถาบันวิจัยระดับชาติ ซึ่งอาจใช้เงินลงทุนไม่กี่พันล้าน เมื่อเทียบกับสิ่งที่เราเสียไปตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจและความเสียหายจากรายได้การท่องเที่ยวมากกว่าแสนล้านบาท (ระยะเวลาแค่เดือนเดียว)

            และคงจะสาหัสกว่านี้ หากโรคระบาดนี้ ยังไม่หายไปภายใน 3 เดือน ดังที่หลายคนคาดการณ์

          ที่สำคัญคือ...หากโรคนี้ไม่หายละ และสิ่งที่ทำได้และสิ่งที่ต้องตระหนักก็คือ การอยู่กับมัน และการป้องกันด้วยวัคซีน ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้