พลวัติการเปลี่ยนแปลง
กับมุมมอง..เรื่องศาสนาของเรา
โดย บันฑิตย์ สะมะอุน
เรื่องหนึ่งที่ท้าทายและอ่อนไหวต่อความรักความสามัคคีของคนในสังคม คือ การกล่าวร้ายซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการกล่าวหา/กล่าวร้ายกันด้วยเรื่องศาสนา การสร้างความเกลียดกลัวให้กับศาสนา
การกีดกันด้วยรูปแบบต่างๆที่มาจากแนวคิดทางศาสนา เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เกิดผลกระทบไม่เฉพาะศาสนาใดศาสนาหนึ่งของสังคม แต่ยังเป็นการสร้างความตึงเคียดภายในศาสนาเดียวกันและระหว่างศาสนาในสังคมอีกด้านหนึ่งด้วย จะเป็นความตึงเครียด ความกดดันที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะมาจากศาสนาใด ย่อมหนีไม่พ้นที่จะเกิดเป็นผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
ศาสนาคือเครื่องมือสร้างสรรค์/หล่อหลอมความรักความสามัคคีของคนในสังคม สังคมจึงต้องให้ความสำคัญกับทุกศาสนาที่มีอยู่จริงในสังคม ให้เหมือนเป็นเรือนร่างเดียวกัน ที่ต้องใช้อวัยวะร่วมกัน
เพราะจุดแข็งของศาสนานั้นมิใช่เพียงเพื่อพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเพื่อต้องการสร้างสรรค์การอยู่ร่วมกันทางสังคมในกรอบของคุณธรรมจริยธรรม(อัคลาค) เปิดพื้นที่ทางศาสนาให้เข้าไปมีบทบาทร่วมในการสร้างคนของชาติให้มีความสมบูรณ์ทั้งกายและจิตใจ
เพราะสังคมจะเจริญก้าวหน้าได้ ก็ด้วยคุณธรรมจริยธรรมของคนในสังคมนั้น สังคมที่เข้มแข็งนั้นไม่ใช่มีแต่เรื่องวัตถุที่สร้างพัฒนาขึ้นเพียงด้านเดียว แต่ความเข้มแข็ง/ความดีงาม/สวยงามทางคุณธรรมจริยธรรมของคนในสังคมต่างหากที่ทำให้สังคมน่าอยู่
เมื่อหมดยุค ศาสนจักร แล้ว ศาสนาก็กลายเป็นเรื่องสำคัญที่ตกยุค/ล่าสมัย
ศาสนจักร เป็นระบบการปกครองที่ไม่สมดุลทางอำนาจและขาดการถ่วงดุล ซึ่งนั่นคือการต่อสู้/ช่วงชิงพื้นที่การปกครองและพื้นที่ยึดครองระหว่างศาสนาจักรกับอาณาจักร การจบลงของยุค ศาสนจักร คือ การทำลายความสวยงาม/ความดีงามของศาสนา ทำให้ศาสนากลายเป็นเหตุแห่งความรุนแรงและสงคราม แม้จะเป็นเหตุการณ์ของบางศาสนาที่กระทำต่อกัน แต่กลับมีผลกับทุกศาสนาและกับสังคมโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ช่วงรอยต่อของการกำเนิดศาสนาอิสลามในแหลมอาระเบีย เป็นยุคที่ศาสนา/จริยธรรมคุณธรรมของคนตกต่ำ และถูกตัดแต่งต่อเติม จนสังคมไม่สามารถรองรับความเป็นศาสนาของชาติได้ จากสังคมที่อยู่ร่วมกันระหว่างศาสนาได้ จึงค่อยๆถอยหลังไปเป็นกลุ่ม/เผ่า/ตระกูล ทำให้ผู้คนหมดความหวังกับรัฐหรือสังคมของตัวเอง โดยหันไปสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ที่ผสมผสานกับหลักการปกครองใหม่จากผู้ยึดครองในยุคนั้นๆ
หลักการศาสนาที่บริสุทธิ์ถูกผสมด้วยวาทกรรมทางการเมืองการปกครอง ผลประโยชน์ทางการเมืองการปกครองและการค้าได้อย่างกลมกลืน ศาสนาจึงถูกกระแสผลักให้กลายเป็นสิ่งมอมเมาไร้สาระ จึงเห็นได้ว่าภารกิจแรกๆที่ท่านศาสดามุฮำหมัด(ซ,ล) กระทำ คือ การสร้างกฎของสังคมขึ้นใหม่หลังจากที่ถูกทำลายไป เพื่อสลายกฎของกลุ่ม/เผ่าพันธุ์/ตระกูล (อะซอบียะห์) ซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้งและสงคราม การยึดมั่นกับกฎของกลุ่ม/เผ่าพันธุ์/ตระกูลแทนการยึดมั่นต่อกฎของสังคม เป็นเหตุให้สังคมอ่อนไหวหรือไวต่อความขัดแย้งและความอคติต่อกัน
โดยเฉพาะอุดมคติของศาสนาอิสลามที่ไม่ได้แยกศาสนาออกจากการปกครอง//ไม่แยกความเป็นศาสนาจักรออกจากความเป็นอาณาจักร ทำให้ความขัดแย้ง/ความกดดันระหว่างศาสนากับความเป็นรัฐ/การปกครองนั้นดำเนินต่อไปอย่างสมดุล
แม้ว่าประชาธิปไตย คือรูปแบบการปกครองที่เลวน้อยที่สุด แต่ก็ยังเป็นระบบที่ดีที่สุดที่สังคมยังยึดถืออยู่ในปัจจุบัน การทำให้หลักการทางศาสนาถูกหลอมรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหลักประชาธิปไตยนั้น จึงเป็นเรื่องของนิยามและหลักยึดของแต่ละศาสนาที่ยังหาข้อสรุปที่ลงตัวไม่ได้ แต่สำหรับนิยาม/หลักยึดของศาสนาอิสลามนั้น มีความแตกต่าง เพราะในตัวศาสนาอิสลามไม่สามารถแยกศาสนิกออกจากสังคม
กระแสของความเป็นอาณาจักรยังคงเข้มแข็งอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็จะเป็นปรากฏการณ์ที่ศาสนจักรค่อยๆลุกคืนขึ้นมาเรื่อยๆ เช่น แต่ละประเทศต่างยอมรับในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นการยอมรับที่ไม่สามารถละทิ้งอุดมคติทางศาสนาเดิมของตนเองได้ จึงกลายเป็นระบบประชาธิปไตยแบบผสม
แม้แต่ประเทศมุสลิมเองที่เคยชัดเจนในเรื่องการปกครองในระบบอิสลาม มีการต่อสู้เพื่อให้สังคม/ประเทศปกครองในระบบอิสลามก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถจะใช้รูปแบบอิสลามอย่างเต็มรูปแบบได้ จึงเห็นแต่ระบบประชาธิปไตยผสมกับระบบอิสลาม หรือแม้แต่ระบบประชาธิปไตยที่ผสมสังคมนิยม ระบบประชาธิปไตยผสมกับคอมมิวนิสต์ ก็ยังมี
นี่เป็นพลวัตทางสังคมที่ค่อยๆปรากฏให้เห็นถึงพลังทางศาสนาที่เริ่มคืบคลานเข้ามาสู่ความเป็นอาณาจักรมากยิ่งขึ้น พลวัตเหล่านี้เกิดเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วโลก ซึ่งทำให้อำนาจทางอาณาจักรต้องคอยจ้องมองอย่างไม่ไว้วางใจ
........................