The Alami Report
Home   /   The Alami Report  /   อิสลามศรีอยุธยามูลนิธิ สถาบัน ปั้นนักคิด ปัญญาชนมุสลิม

อิสลามศรีอยุธยามูลนิธิ สถาบัน ปั้นนักคิด ปัญญาชนมุสลิม

 

           สำนักข่าวอะลามี่ :   กว่า 70ปี ที่สถาบันการศึกษาอย่าง “อิสลามศรีอยุธยามูลนิธิ “ หรือ อศอ. ได้ก่อตั้งจนถึงวันนี้ได้ผลิตบุคลากรของสังคมมุสลิมและของประเทศจำนวนมาก

            โรงเรียนอิสลามศรีอยุธยามูลนิธิ หรือ อศอ.นับเป็นโรงเรียนที่เคียงคู่กับชุมชนตำบลคลองตะเคียน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มากว่า 70 ปี โดยในยุคแรกเปิดการเรียนการสอนเฉพาะด้านศาสนาในปี 2470  โดยตั้งชื่อว่า “ โรงเรียนกุรอานียะห์” สืบต่อมาในปี 2482 โต๊ะกีแอ ตะเคียนคาม เป็นอีหม่าม มาจนถึงสมัยของ อีหม่ามอับดุลการีม (หริ่ม)

            ในปี พ.ศ.2486 นายมูฮำหมัด (อุมัร) เลาะวิถี บุตรฮัจยีสุโกร เลาะวิถี ดำรงตำแหน่งอีหม่ามสืบต่อมา และเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น “โรงเรียนรุกียุนมะอาริฟ” โดยมี อาจารย์มูซา ฮานาฟี เป็นผู้อำนวยการ โรงเรียนรุกียุนนะอาริฟ เป็นจุดเริ่มต้นของ “ โรงเรียนอิสลามศรีอยุธยามูลนิธิ” และทางราชการได้ใช้เป็นที่สถานศึกษาประชาบาลมีชื่อว่า “ โรงเรียนประชาบาลตำบลคลองตะเคียน 1 (มัสยิดกุฎีช่อฟ้า) เปิดทำการสอนเมื่อ 1 มิ.ย. 2465 เป็นต้นมา

          อาจารย์ ไฟซ้อล บุญรอด ผู้อำนวยการโรงเรียนอิสลามศรีอยุธยามูลนิธิ หรือ อศอ. กล่าวว่า โรงเรียนแห่งนี้ มี ฮัจยีอีหม่าม ฮาซัน ฮานาฟี  เป็นผู้รับใบอนุญาต บนพื้นที่โดยรวมประมาณ 20 ไร่ เริ่มต้นจากการเรียนการสอนภาษาหรับและด้านศาสนา เป็นหลักในอดีต และจดทะเบียนโรงเรียนเอกชน เป็นอันดับแรกของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  

       “ เราความเห็นว่า การเรียนด้านใดด้านหนึ่ง ด้านทางโลกหรือทางธรรมเพียงอย่างเดียว ไม่เหมาะกับการดำรงชีพหรือการมีชิวิตอยู่ในปัจจุบัน ทุกคนต้องเรียนรู้ทั้งศาสนาและสามัญด้วย ซึ่งสอดคล้องตามหลักการของศาสนาด้วย ทุกชีวิตต้องมีความรู้ทั้ง 2 ด้าน เพื่อที่จะดำรงชีพอย่างมีความสุข “

            โรงเรียนอิสลามศรีอยุธยา ปัจจุบันจัดการศึกษาควบคู่ หรือเรียกกันว่า การศึกษาแบบบูรณาการ ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ เริ่มตั้งแต่ อ.1- ชั้นประถมศึกษา ไปจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 การศึกษาที่ต่อเนื่องจะทำให้เด็กได้รับอุดมการณ์เรื่องของศาสนาได้อย่างเต็มที่ เป็นระบบ ปัจจุบันเรามีเด็กนักเรียนในความดูแลกว่า 2 พันคน

           อาจารย์ ไฟซ้อล  กล่าวว่า จุดเด่นของ อศอ. ปัจจุบันเป็นโรงเรียนต้นแบบ  เป็นการจุดประกายให้เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนทางภาคใต้ หรือภาคอื่นๆ ก็ตาม ให้ความสนใจมาศึกษาดูงาน  และด้วยที่นี่อาจจะเป็นในลักษณะของชุมชนศูนย์การทางการศึกษา คือ ทุกคนมีส่วนร่วมทางการศึกษา เช่น ครูบาอาจารย์ ก็จะเป็นคนในชุมชน ส่วนใหญ่จะจบการศึกษาจากที่นี่

         “ ศิษย์เก่าที่มีความรักและความผูกพันเป็นคนที่เสียสละและมาช่วยกันในเรื่องของการศึกษา ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก ชุมชนจะเป็นผู้จัดการศึกษา เป็นผู้ดูแลเยาวชนและบุตรหลานที่มาจากหลายภูมิภาค เช่น จากเชียงใหม่ เชียงราย หรือแม้แต่ ยะลา นราธิวาส หรือจากภาคอีสาน อุดรธานี ขอนแก่น มุกดาหาร เราช่วยเหลือดูแลเสมือนเป็นคนในครอบครัว เป็นโฮส หรือ ระบบแฟมมิลี่ หรือ ระบบครอบครัว อาจารย์ ไฟซ้อล  กล่าวและว่า

            นักเรียนที่มาเรียนที่นี่ ตั้งแต่ในอดีตทุกคนจะมีคำว่าบ้านพักนักเรียน โดยที่เจ้าของบ้านจะมีความรู้สึกยินดี และดีใจ ที่มีส่วนได้มีการส่งเสริมด้านการศึกษา ยอมสละพื้นที่ในบ้าน เพื่อที่จะให้นักเรียนมาได้อาศัยอยู่ร่วมกันกับคนในครอบครัว เหมือนเป็นลูกเป็นหลานอีกคนในครอบครัว ปัจจุบันมีประมาณ 30 ครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำมาโดยตลอดร่วม 80 ปีมาแล้ว

            “ เด็กที่มาอยู่ในบ้าน หรือเข้ามาอยู่ในชุมชนนี้เขาจะมีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เป็นส่วนหนึ่งของคนในครอบครัว หรือ เป็นญาติ จะมีความผูกพัน รับประทานอาหารร่วมกัน กันกินข้าวหม้อเดียวกัน ละหมาดด้วยกัน อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกัน เด็กเหล่านี้ก็เหมือนเป็นพี่น้องกัน เขาก็จะเกิดความรักต่อกัน”

            ถ้าพูดถึงเรื่องบุคลากร ที่นี่เป็นแหล่งบ่มเพาะบุคลากรคนสำคัญของสังคมมุสลิม  อาทิเช่น  ศ.ดร.อิมรอน มะลูลีม , ดร.ศราวุฒิ อารีย์, ดร.มาโนชย์ อารีย์, ดร.วิศวุต เลาะวิถี และอีกหลายท่าน ที่เป็นนักธุรกิจและนักวิชาการ ในมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศไทย

            อาจารย์ ไฟซ้อล กล่าวว่า สิ่งที่เราภูมิใจและกำลังดำเนินการต่อไปคือ การพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนไปสู่สากลระดับ ซึ่งปัจจุบันเราเป็นศูนย์ TEM (Technologe Engineir Matmatice)  เป็นหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาได้ประกาศให้นำเรื่องวิทยาศาสตร์ ให้เด็กใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ จะทำให้เด็กได้เกิดการพัฒนาในด้านการคิด และอุดมการณ์ในการทำงาน

            “ ปัจจุบัน อศอ. มีการสอน 4 ภาษา คือ ภาษาหลักเป็นทางการของประเทศ ยังมีภาษาอังกฤษ ภาษาอาหรับ และ ภาษามลายู เพราะเรื่องของภาษา มีความสำคัญของโลกปัจจุบัน ”

 (ล้อม)

“ธรรมธาชัย”หนึ่งในครอบครัวอุปถัมภ์

            ด้วยสภาพชุมชนคลองตะเคียนเป็นชุมชนการศึกษา ทำให้โรงเรียนอิสลามศรีอยุธยามูลนิธิ จึงมีจุดเด่นของโรงเรียน คือ ที่นี่ไม่มีหอพักนักเรียน แต่ทุกคนจะต้องอยู่กับโฮส หรือครอบครัวอุปถัมภ์

           ครอบครัว ” ธรรมธาชัย” เป็นหนึ่งใน 30 ครอบครัวที่รับเป็นครอบครัวอุปถัมภ์  โดยมี นายพงษ์ศักดิ์ ธรรมธาชัย และ นางสุรีย์ ธรรมธาชัย เป็นผู้ดูแล

           ปัจจุบัน นายพงษ์ศักดิ์ เป็นพนักงานบริษัท อิตาเลี่ยนไทย ครอบครัวนี้มีลูก 5 คน หญิง 1 คน ชาย 4 คน คนเล็กเรียนชั้น ป.5 ส่วนคนพี่ๆ มีครอบครัวแล้ว ขณะที่คนรอง เพิ่งเรียนจบระดับปริญญาโทจากประเทศอินเดีย ส่วนคนที่ 3 กำลังเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ปกติแม้เขาจะไม่ค่อยอยู่เมืองไทย แต่คนที่รับภาระในการดูแลเด็กอุปถัมภ์คือ นางสุรีย์ ผู้เป็นภรรยา ซึ่งได้รับเด็กนักเรียนมาแล้ว 2 รุ่น

          “ เด็กที่มาอยู่กับเรา จะอยู่กันเหมือนลูก มาเป็นเพื่อนกับลูกของเราไปโรงเรียนพร้อมกัน ทำให้เด็กเกิดการผูกพัน อีกทั้งยังเชื่อมโยงระหว่าง 2 ครอบครัวอีกด้วย ทำให้เราจะมีการไปเยี่ยมเยียนครอบครัวของเด็กซึ่งกันและกัน ” พงษ์ศักดิ์ กล่าวและว่า

            เขาดูแลเด็กเสมือนกับเป็นลูกคนหนึ่ง ประสานงานดูแลเรื่องการเรียน การบ้าน ช่วยพยุงเรื่องการเรียน มีปัญหาเรื่องอะไรก็จะช่วยแก้ไข รวมถึงการทำกิจกรรมในครอบครัวออกไปทำธุระนอกบ้าน หรือท่องเที่ยว เราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน หลังจากที่ไม่มีเด็กอุปถัมภ์ทำให้ครอบครัวดูเงียบเหงาไปบ้างในบางโอกาส

            เขาบอกว่า ทุกวันนี้ก็ยังไม่ล้มเลิกการรับเด็กนักเรียนมาเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ทั้งนี้ก็ต้องดูความพร้อมและโอกาส พร้อมกับกล่าวอย่างหนักแน่นว่า การเป็นครอบครัวอุปถัมภ์ไม่ได้ทำให้ครอบครัวมีปัญหาเพิ่มขึ้น หนำซ้ำยังเป็นการสร้างความสุขให้กับครอบครัวอีกด้วย