The Alami Report
Home   /   The Alami Report  /   “มุสลิมจีน: ปริศนาอุยกูร์”

 มุสลิมจีน : ปริศนาอุยกูร์ 

โดย สุชาติ เศรษฐมาลินี 

           สำนักข่าวอะลามี่ :  ช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านได้มีข่าวเกี่ยวกับชนชาติ “อุยกูร์” อย่างน้อยสามเรื่องใหญ่ๆ ในสื่อต่างๆ ทั้งสื่อไทยและเทศ



           เรื่องแรก คือ ปฏิบัติการใช้มีดดาบไล่ฆ่าฟันชาวจีนอย่างสยดสยองบริเวณสถานีรถไฟที่เมืองคุนหมิงในมณฑลยูนนาน

           เรื่องที่สอง คือ การหลบหนีเข้าเมืองของชาวมุสลิมไม่ปรากฏสัญชาติจำนวนนับร้อยที่จังหวัดสงขลา และเรื่องที่สาม กรณีเครื่องบิน MH370 ของประเทศมาเลเซีย ที่ได้สูญหายไปและยังไม่พบร่องรอยจนบัดนี้

           โดยทั้งสามเหตุการณ์ได้ถูกโยงใยเข้ากับชาวจีนมุสลิมชนชาติ “อุยกูร์” หรือ “วุ่ยเกอร์” ซึ่งดูเหมือนว่าคนชนชาตินี้ยังคงปริศนาอยู่ไม่น้อยสำหรับผู้อ่านในสังคมไทย

           ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในบทความฉบับก่อนหน้าของผู้เขียนว่า  ภายหลังการปฏิวิติของเหมาเจ๋อตุง ประเทศจีน ได้แบ่งชาวจีนออกเป็นชนชาติต่างๆ ทั้งหมด 56 ชนชาติ (nationality) ซึ่งในจำนวนนี้มีชนชาติที่เป็นมุสลิมจำนวน 10 ชนชาติ

           ดังนั้น ชนชาติอุยกูร์ คือ หนึ่งในสิบของชนชาติมุสลิมในประเทศจีน คำว่า “ชนชาติ” มาจากภาษาจีนว่า “หมินจู๋” (minzu) คำๆ นี้เพิ่งถูกกล่าวถึงในภาษาจีนเป็นครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่ 20 นี้เอง โดยมีที่มาจากภายหลัง ดร.ซุนยัดเซ็น ได้โค่นล้มระบบราชวงศ์ของจีนลงในปี ค.ศ. 1911

            แนวคิด “หมินจู๋ เป็นแนวคิดที่ ดร.ซุน ยัดเซ็น นำเข้าและได้รับอิทธิพลจากจากอุดมการณ์ชาตินิยมที่ฝังรากมายาวนานในสังคมญี่ปุ่นที่เรียกว่า “หมินโจกุ” โดยท่านเห็นว่าหากขบวนการชาตินิยมจีนจะเป็นจริงขึ้นมาได้นั้นจำเป็นที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์อย่างถอนรากถอนโคนระหว่างผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครองที่ได้ยืนหยัดมายาวในสังคมจีน หรืออาจเข้าใจได้ในทางยุทธวิธีก็คือว่า ดร.ซุน ต้องการใช้แนวคิดนี้เพื่อระดมชาวจีนทั้งประเทศเพื่อทำการโค่นล้มราชวงศ์ชิง ซึ่งถูกสถาปนาขึ้นโดยกลุ่มคนเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้น หรือที่เรียกว่าชาวแมนจู (Manchu)

          โดยพยายามบอกว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศจีนนั้นเป็นชนชาวฮั่น (Han) ดังนั้น ดร.ซุน จึงเห็นว่า แนวคิด “หมินจู๋” เป็นสัญลักษณ์ชาตินิยมที่ทรงประสิทธิภาพในการต่อต้านพวกแมนจูและชาวต่างชาติอื่นๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่ในประเทศจีนย่อมเข้าร่วมด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้น ดร.ซุน ยัดเซ็น จึงได้รณรงค์ความคิดว่าประเทศจีนประกอบด้วยผู้คน 5 กลุ่ม คือ ชาวฮั่น ชาวแมนจู ชาวมองโกล ชาวธิเบต และชาวหุย (ซึ่งรวมชาวมุสลิมทุกกลุ่มไว้ในกลุ่มนี้ ซึ่งต่อมายุคประธานเหมา ได้แบ่งย่อยเป็น ชาวหุย ชาวอุยกูร์ ชาวคาซัก ฯลฯ) และแนวคิดนี้ได้กลายเป็นแนวนโยบายหลักของ ดร.ซุน ในการตั้งระบอบสาธารณรัฐเป็นครั้งแรกของจีน 

           หากลองย้อนดูประวัติศาสตร์จีนแล้วชาวอุยกูร์ทุกคนต่างเชื่ออย่างมั่นคงว่า บรรพบุรุษของพวกเขาคือชนพื้นเมืองในลุ่มน้ำทาริม ซึ่งครอบคลุมบริเวณกว้างถึงประมาณ 350,000 ตารางกิโลเมตร หรือที่รู้กันในปัจจุบันคือ “มณฑลซินเจียง”

          พวกเขาเชื่อว่าที่ดินแดนนี้คือผืนดินของพวกเขา ในหนังสือประวัติศาสตร์ซินเจียง (1977) แจ๊ค เฉิน (Jack Chen) ได้อธิบายคำว่า อุยกูร์ ว่าหมายถึงชนเผ่าเติร์กที่อาศัยอยู่ในเติร์กกิสถานของจีน แต่จากการรวบรวมบันทึกเกี่ยวกับชนเผ่าร่อนเร่ที่รู้จักกันว่าคือชาวอุยกูร์นั้นปรากฏพบตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 8 ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่นับถือพ่อมดหมอผี และเปลี่ยนมานับถือพุทธ ต่อมาชนชาวอุยกูร์ได้ค่อยๆ เปลี่ยนเข้ารับอิสลามนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 10-16 และอัตลักษณ์ของพวกเขาได้สูญหายไปในช่วงศตวรรษที่ 15-20 โดยถูกเรียกว่าเป็นชนชาวหุย-เหอ หรือหุย-หู

            ดรู แกลดนี
(Dru Gladney) นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน (ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนมุสลิมศึกษา) เคยได้รับการบอกเล่าจากข้าราชการชาวอุยกูร์ประจำสำนักงานบริการการท่องเที่ยวนานาชาติว่า “ชนชาวอุยกูร์นั้นคือลูกหลานของชนเผ่าร่อนเร่ในเอเชียกลางที่มีอารยธรรมสูงส่ง โดยมีอาณาจักรตั้งอยู่ในเมืองทุรพาน ภาพวาดอันสวยงามและวิจิตรตระการตาที่เขียนประดับในหลุมฝังศพ สามารถย้อนไปถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นจากการพิสูจน์ซากมัมมี่ที่ค้นพบในหลุมฝังศพในเมืองซินเจียง และในดินแดนแถบนี้พบว่ามีอายุมากถึง 6,000 ปี จึงเป็นการพิสูจน์ว่าชาวซินเจียงนั้นเป็นชนเก่าแก่กว่าพวกฮั่นเสียอีก”

          ดังนั้นชาวอุยกูร์จึงมีความผูกพันกับผืนแผ่นดินในซินเจียงเป็นอย่างมากและอ้างสิทธิ์ต่อบุคคลภายนอกเสมอมาว่า “นี่คือแผ่นดินของพวกเขา เขตแดนของพวกเขา” 

           ถึงแม้ว่าอาณาจักรของอุยกูร์ดั้งเดิมในยุคต้นจะกลายเป็นเขตของมองโกเลียปัจจุบัน และต่อมาตกอยู่ภายใต้การครอบครองของประเทศจีนในปัจจุบันก็ตาม  โดยกลุ่มชาตินิยมอุยกูร์มักกล่าวหานโยบายของจีนในการอพยพผู้คนชาวฮั่นเป็นจำนวนมากเข้ามาในดินแดนซินเจียงว่า การดำเนินนโยบายพัฒนาอย่างไร้ขอบเขต จนเป็นเหตุของทำลายสภาพแวดล้อมตลอดจนการทดลองอาวุธนิวเคลียร์นับเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์   

         ปัจจุบัน ในประเทศจีนมีชาวอุยกูร์อยู่ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งเป็นชนชาติมุสลิมที่มีจำนวนมากเป็นอันดับสองรองจากชนชาติหุย (Hui) จากจำนวนชนชาติมุสลิม 10 ชนชาติในประเทศจีน และเป็นชนชาติที่มีมากเป็นลำดับที่ 5 ของประเทศจีนจากทั้งหมด 56 ชนชาติ โดยเกือบร้อยละ 90 อาศัยอยู่ในมณฑลซินเจียง (ตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน)

     
           ถึงแม้ว่าชนชาวอุยกูร์จะปรากฏมายาวนานย้อนไปถึงก่อนศตวรรษที่ 8 แต่อัตลักษณ์ของพวกเขามีการปรับเปลี่ยนอย่างขนานใหญ่ตามบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิสัมพันธ์กับรัฐชาติของจีนที่เป็นตัวแปรสำคัญ

          คำว่า “อุยกูร์” จึงไม่ได้มีความหมายในเชิงชนเผ่า หรือเขตแดนแต่เพียงอย่างเดียว หากมีนัยทางการเมืองที่แฝงอยู่ ดังที่พวกเขาถูกจัดกลุ่มให้กลายเป็นพวกเดียวกับหุย-เหอ หรือ หุย-หู ในขณะที่พวกเขายังคงสืบทอดภาษาสำเนียงเติร์กของตัวเอง และต่อมาชนชาวอุยกูร์ถูกผนวกเข้ากับจีนอย่างจริงจังอีกครั้งหลังจากการปฏิวัตเหมาปี ค.ศ. 1949 โดยพร้อมๆ กับการได้รับการยอมรับความเป็นชนชาติอุยกูร์อย่างเป็นทางการ

         จีนก็ได้ดำเนินนโยบายส่งชนชาวฮั่นมากมายเข้าไปในดินแดนซินเจียงที่มีทรัพยากรธรรมชาติอย่างมหาศาลเพื่อดำเนินนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนจนเป็นที่มาของความขัดแย้งต่อมาอย่างมากมาย    

 ตีพิมพ์ครั้งแรก: นิตยสาร ดิ อะลามี่ ฉบับพฤษภาคม 2557