ความสัมพันธ์ของตุรกีกับโลกมลายู
โดย นิก รากิ๊บ บิน นิฮัสซัน
สำนักข่าวอะลามี่: ประเทศตุรกีกลับมาอยู่ในเวทีการเมืองโลกมุสลิมอีกครั้ง เมื่อส่งเรือรบเข้าไปช่วยเหลือชาวโรฮิงญาที่ลอยอยู่กลางทะเล และได้รับความสนใจยิ่ง เมื่อคณะทหารทำการปฏิวัติ แต่ได้รับการต่อต้านจนพ่ายแพ้ด้วยพลังของประชาชน ทำให้บางส่วนเชื่อว่า ประเทศตุรกีจะกลับมาเป็นอาณาจักรออตโตมาน ยุคใหม่อีกครั้ง
ความสนใจในความสัมพันธ์ของประเทศตุรกีกับโลกมลายูมีมานานแล้ว แต่เริ่มเห็นภาพชัดขึ้นเมื่อผู้เขียนไปร่วมสัมมนาในงานวรรณกรรมโลกมลายู
โดยเริ่มอยู่เมื่อวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2016 ผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมงานสัมมนานักวรรณกรรม 8 ประเทศ หรือ Temur Penyair 8 Negara ที่เมืองบันดาอาเจะห์ จังหวัดอาเจะห์ดารุสสาลาม ประเทศอินโดเนเซีย หนึ่งในสถานที่จัดกิจกรรมคือ อาคารสุลต่านสาลิมที่ 2 (Sultan Selim II) ซึ่งเป็นอาคารที่สร้างขึ้นมาโดยองค์การกาชาดของประเทศตุรกี เพื่อช่วยเหลืออาเจะห์ ที่ประสบกับภัยพิบัตจากสึนามิ
นอกจากนั้นทางเจ้าภาพยังพาไปสัมผัสหมู่บ้านที่สร้างขึ้น โดยองค์การกาชาดของประเทศตุรกี เพื่อช่วยเหลือชาวอาเจะห์ และ..ที่อาคารสุลต่านสาลิมที่ 2 นี่เอง ทำให้ผู้เขียนได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของอาณาจักรออตโตมานที่มีต่อโลกมลายู ด้วยมีแผ่นป้ายเขียนถึงความสัมพันธ์ของอาณาจักรออตโตมัน หรือ อาณาจักรออสมานียะห์ ที่มีต่ออาเจะห์ ว่า
“ สุลต่านสาลิมที่ 2 ให้ตัวแทนของพระองค์เดินทางไปยังอาเจะห์ ตามคำขอของ สุลต่านอาลาอุดดิน รีอายาตชาห์ เมื่อสุลต่านอาลาอุดดิน สุลต่านแห่งอาเจะห์ ส่งสาส์นมายังเราว่า โปร์ตุเกสกำลังโจมตีมุสลิม และพระองค์ขอร้องให้เราช่วย เราจึงส่ง Kurdoglu Hizir เป็นผู้นำกองเรือรบจำนวน 15 ลำ พร้อมปืนใหญ่ อาวุธยุทธภัณฑ์ หน่วยทหาร และเรือบรรทุกเสบียงอีก 2 ลำ สามารถอยู่ได้เป็นเวลา 1 ปี และ เดินทางกลับทางอิยิปต์ สุลต่านอาเจะห์ออกคำสั่งให้ชาวอาเจะห์ไม่ขัดขวาง ในกรณีกองเรือรบออตโตมานจะนำทองแดง ม้า อาวุธ กลับไปยังดินแดนของตนเอง”
จากข้อมูลดังกล่าวเมื่อค้นคว้าลึกอีก ทำให้ทราบว่า สุลต่านอาลาอุดดิน รีอายัตชาห์ อัลกาฮาร์ แห่งรัฐอาเจะห์ ซึ่งครองราชย์ระหว่างปี 1537-1571 ได้ส่งตัวแทนของพระองค์ชื่อว่า อุมาร์ และฮุสเซ็น เดินทางถึงยังอาณาจักรออตโตมาน เมื่อ 7 มกราคม 1565 เพื่อขอความช่วยเหลือจากสุลต่านสุไลมาน ขอให้ส่งกองทหารตุรกีมาช่วยเหลืออาเจะห์ ในการต่อต้านโปร์ตุเกส
แต่พระองค์สิ้นชีวิตก่อน เมื่อบุตรขึ้นครองราชย์เป็นสุลต่านคนใหม่ ชื่อว่า สุลต่านสาลิม ที่ 2 จึงได้ส่งกองทัพเรือไปช่วยเหลืออาเจะห์ แต่กล่าวว่า กองทัพเรือส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เดินทางถึงอาเจะห์ ด้วยอีกส่วนหนึ่งต้องไปปราบกบฏที่เยเมน
มีบันทึกว่าในปี 1568 กองทัพอาเจะห์ พร้อมทหารตุรกีจำนวน 400 นาย ร่วมอยู่ในกองทัพอาเจะห์ ในการโจมตีมะละกา ที่อยู่ภายใต้การปกครองของโปร์ตุเกส กล่าวว่า “กองทหารตุรกีได้ขึ้นบกและตั้งฐานที่หมู่บ้านบีไต (Gampong Bitai) ชาวอาเจะห์ จะเรียกหมู่บ้านว่า Gampong ไม่ใช่ Kampong เหมือนกับชาวมลายูทั่วไป”
และนอกจากนั้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ ยังมีสุสานนักการศาสนาชาวตุรกีที่ชื่อว่า มุตตาลิบ กาซี บิน มุสตาฟา กาซี (Muthalib Ghazi bin Mustafa Ghazi) หรือที่รู้จักในนามของ “เต็งกูเชค ตวน ดีบีไต”(Tengku Syieh Tuan Di Bitai) รวมกับชาวตุรกีอื่นๆ อีก 48 ศพ ที่เป็นผู้มาช่วยเหลืออาเจะห์ในอดีต และที่หมู่บ้านบีไต หลังเกิดสึนามิ ทางกาชาดประเทศตุรกี ก็ได้สร้างบ้านจำนวน 350 หลัง ในหมู่บ้านบีไต
ในสมัย สุลต่านมันซูร์ ของรัฐอาเจะห์ พระองค์ได้ส่งสาส์นไปยังสุลต่านอับดุลมายิด แห่งอาณาจักออโตมาน หรือ อุสมานียะห์ 2 ครั้ง คือในปี 1849 เขียนสาส์นด้วยภาษามลายู และในปี 1850 เขียนสาส์นด้วยภาษาอาหรับ และในยุคของ สุลต่านมาห์มุดชาห์ แห่งรัฐอาเจะห์ ก็ได้ส่งตัวแทนชื่อว่า อับดุลราห์มาน อัซ-ซาฮีร์ เดินทางไปยังกรุงอิสตันบูล ถึงที่กรุงอิสตันบูล เมื่อวันที่ 27 เมษายน 1873
ตั้งแต่ปี 1897 หนังสือพิมพ์ของอาณาจักรออสมานียะห์ เช่น Idkam และ Al-Malumat ในกรุงอิสตันบูล รวมทั้งหนังสือพิมพ์ Thamarat Al-Fununi ในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหนังสือพิมพ์ในสิงคโปร์ และ กรุงบาตาเวีย (กรุงจาการ์ตา ในปัจจุบัน)
ข่าวคราวการกดขี่ของเจ้าอาณานิคมอังกฤษและฮอลันดา ถูกเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ข้างต้น มีบันทึกว่า นายมูฮัมหมัดกามิล เบย์ ทูตอาณาจักรออตโตมาน ประจำกรุงบาตาเวีย ระหว่างปี 1897-1899 มีบทบาทในการเผยแพร่แนวคิดแพน-อิสลาม เพื่อสร้างความสามัคคีระหว่างมุสลิมทั่วโลก โดยมีอาณาจักรออตโตมานเป็นผู้นำ ซึ่งแนวคิด “แพน-อิสลาม” นี้ได้รับการเผยแพร่ทั้งในแหลมมลายูและอินโดเนเซีย จนในที่สุด ทูตอาณาจักรออตโตมาน ประจำกรุงบาตาเวีย ถูกฮอลันดาขับไล่ออกนอกประเทศ
วกกลับมายังสิงคโปร์ และมาลายา หรือ ประเทศมาเลเซียปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่าง ซัยยิดมูฮัมหมัด อัลซากอฟฟ์ นักธุรกิจชาวสิงคโปร์กับอาณาจักรออตโตมาน มีความสำคัญยิ่ง ตระกูล อัลซากอฟฟ์ ถือว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยของประเทศสิงคโปร์
เริ่มจาก ซัยยิดอับดุลราห์มาน อัลซากอฟฟ์ ที่เดินทางมาจากเมืองฮัดราเมาต์ ตะวันออกกลาง ในปี 1824 เขามีเรือสินค้าเพื่อทำการค้า บุตรชายของเขาคือ ซัยยิดอาหมัด ได้แต่งงานกับบุตรสาวของฮัจญะห์ฟาตีมะห์ ชาวสุลาเวซีอินโดเนเซีย ผู้ร่ำรวยในสิงคโปร์ ทั้งสองได้บุตรชื่อว่า ซัยยิดมูฮัมหมัด อัลซากอฟฟ์ นอกจากซัยยิดมูฮัมหมัด อัลซากอฟฟ์ จะได้รับมรดกที่ดินและการค้าจากบิดาและปู่แล้ว เขาทำธุรกิจด้านฮัจญ์อีกด้วย และเขามีความใกล้ชิดกับสุลต่านแห่งรัฐโยโฮร์
และในปี 1878 ได้รับสัมปทานที่ดินการเกษตรในรัฐโยโฮร์ ถึง 60,000 เอเคอร์ ที่ดินการเกษตรแห่งนี้ ซัยยิดมูฮัมหมัด อัลซากอฟฟ์ ตั้งชื่อว่า Constantinople Estart จากชื่อแปลงที่ดินดังกล่าว เราจะเห็นได้ถึงความสัมพันธ์ของ ซัยยิดมูฮัมหมัด อัลซากอฟฟ์ ที่มีกับตุรกี
นอกจากนั้น ซัยยิดมูฮัมหมัด อัลซากอฟฟ์ ยังมีการผลิตธนบัตรที่ใช้เฉพาะภายในที่ดินการเกษตรดังกล่าว จากการศึกษาจะพบความเหมือนระหว่างธนบัตรที่ใช้ในแปลงที่ดินการเกษตรดังกล่าว กับธนบัตรของอาณาจักรออตโตมานนั้น อาจด้วยเหตุผลที่เกิดจากธุรกิจด้านฮัจญ์ ที่เขาต้องมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรฮียาซ (ประเทศซาอุดีอาระเบียในปัจจุบัน) ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน
ธุรกิจการขนส่งผู้ที่ต้องการเดินทางไปทำฮัจญ์ภายใต้บริษัทของเขาที่ชื่อว่า Alsagoff Singapore Steamship and Co. เฉพาะจากบันทึกในปี 1874 บริษัทสามารถส่งคนไปทำฮัจญ์ได้จำนวน 3,476 คน สำหรับ ซัยยิดมูฮัมหมัด อัลซากอฟฟ์ ภายหลังในปี 1884 ได้เดินทางไปยังกรุงอิสตันบูล เพื่อขอพบสุลต่านอับดุลมายิดที่ 2 แห่งอาณาจักรออตโตมาน เพื่อที่เขาจะได้รับการแต่งตั้งเป็นกงสุลของอาณาจักรออตโตมาน ประจำประเทศสิงคโปร์ จนทางอาณาจักรออตโตมานแต่งตั้งเขาเป็นกงสุลประจำสิงคโปร์
ในปี 1888-1889 เรือชื่อว่า Ertu?ul จากอาณาจักรออตโตมาน เดินทางแวะที่ไซง่อน สิงคโปร์ และฮ่องกง ทางสุลต่านรัฐสลางอร์ เขียนสาส์นถึงสุลต่านแห่งอาณาจักรออตโตมาน เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ว่าเรือดังกล่าวเดินทางออกจากท่าเรือไปเสียก่อน และในปี 1892 ซัยยิดซีน ตัวแทนของรัฐอาเจะห์ ได้ส่งหนังสือถึงอาณาจักรออตโตมาน ผ่าน ซัยยิดมูฮัมหมัด อัลซากอฟฟ์ เพื่อให้อาณาจักรออตโตมาน ช่วยเหลือรัฐอาเจะห์ แม้จะไม่สำเร็จ แต่เราจะเห็นถึงความสัมพันธ์ดังกล่าว
สุลต่านอาบูบาการ์ แห่งรัฐโยโฮร์ ได้เดินทางไปกรุงอิสตันบูลครั้งแรก เมื่อปี 1879 และ สุลต่านอาบูบาการ์ ก็ได้เดินทางไปกรุงอิสตันบูลอีกครั้งในปี 1893 การเดินทางครั้งนี้ทางสุลต่านได้รับมอบสตรีตุรกี 2 คนจากทางตุรกี คนแรกคือ คาดีญะห์ ฮานิม ได้แต่งงานกับสุลต่านอาบูบาการ์ และ คนที่ 2 คือ รูกายะห์ ได้แต่งงานกับ เอ็งกูอับดุลมายิด น้องชายของสุลต่านอาบูบาการ์
สตรีตุรกีที่ชื่อว่า รูกายะห์ มีความสำคัญในประวัติศาสตร์มาเลเซีย เมื่อนางรูกายะห์ แต่งงานกับ เอ็งกูอับดุลมายิด ได้บุตร 3 คน หนึ่งในนั้นคือ เอ็งกูอับดุลฮามิด ผู้เป็นบิดาของเอ็งกูอับดุลอาซีซ นักวิชาการนามอุโฆษ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมาลายา เมื่อเอ็งกูอับดุลมายิดเสียชีวิต นางรูกายะห์ ได้แต่งงานใหม่กับดาโต๊ะยาอาฟาร์ บินมูฮัมหมัด มีบุตรชื่อว่า ดาโต๊ะออนน์ บินยาอาฟาร์ ผู้เป็นประธานพรรคอัมโน คนแรก และเป็นบิดาของตุนฮุสเซ็น บินออนน์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศมาเลเซีย
และหลังจาก ดาโต๊ะยาอาฟาร์ บินมูฮัมหมัด เสียชีวิต นางรูกายะห์ แต่งงานเป็นครั้งที่ 3 โดยเธอแต่งงานกับ ซัยยิดอับดุลลอฮ อัล-อัตตัส มีบุตรที่มีชื่อเสียง 2 คน คือ ศาสตราจารย์ ซัยยิดฮุสเซ็น อัล-อัตตัส และ ศาสตราจารย์ ดร. ซัยยิดมูฮัมหมัด นากิ๊บ อัล-อัตตัส
อิทธิพลของอาณาจักรออตโตมาน มีมากในโลกมลายู มีการค้นพบเอกสารและหลักฐานต่างๆ ที่แสดงให้ถึงการที่สุลต่านต่างๆ ของโลกมลายู ไม่ว่าสุลต่านบรูไน ส่งหนังสือขอความช่วยเหลือให้เรื่องที่อังกฤษโอนดินแดนที่เรียกว่า ลิมบังจากบรูไน ไปอยู่ในรัฐซาราวัค หรือแม้แต่บรรดานักการศาสนาอิสลาม ที่มาจากชุมชนชาวมลายูในนครมักกะห์ ได้ทำหนังสือขอความช่วยเหลือจากสุลต่านอับดุลมายิดที่ 2 แห่งอาณาจักรออตโตมาน
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโลกมลายูในอดีต ที่มีต่ออาณาจักรออตโตมาน จะสามารถมองเห็นถึงความสัมพันธ์ของประเทศตุรกี ที่มีต่อโลกมลายูในปัจจุบัน และอนาคตได้