'ยิ่งลักษณ์'ชู3ยุทธศาสตร์ ดันไทยประตูอาเซียน
สำนักข่าวอะลามี่: "ยิ่งลักษณ์" ชู 3 ยุทธศาสตร์ ดันไทยประตูอาเซียน จับมือพม่าพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย เร่งเดินหน้าเมกะโปรเจ็ก 5 ปี 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุม World Economic Forum on East Asia ปี 2555 ณ ห้อง Plenary Hall โรงแรมแชงกรีลา ว่า ปัจจุบัน เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาของความท้าทายและโอกาส ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นที่ยุโรป การเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่ไปกับ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความก้าวหน้าของการเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย การกลายเป็นศูนย์กลางการเติบโตในภูมิภาค
ทั้งนี้ เราต่างเห็นแล้วว่า แม้แต่ประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่สุดยังไม่มีภูมิคุ้มกันจากความท้าทายดังกล่าว ในขณะที่ประเทศเล็กๆอย่างเรากลับจะใช้ความท้าทายนี้เป็นโอกาส คำถามก็คือ อะไรคือสิ่งที่เอเชียควรทำเพื่อปกป้องตัวเองจากความท้าทาย และใช้โอกาสนี้ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
หลายประเทศในภูมิภาคนี้ได้ก้าวข้ามความท้าทายนี้แล้ว เห็นได้จาก เศรษฐกิจในอาเซียนส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาในยุโรป และหลายประเทศในอาเซียน ยังสามารถก้าวข้ามความท้าทายภายในประเทศของตัวเอง ดังเช่น ความก้าวหน้าของกระบวนการประชาธิปไตยในพม่า ซึ่งได้รับการชื่นชมจากประชาคมโลก ความสำเร็จเหล่านี้ได้สร้างความเชื่อมั่นในภูมิภาคนี้ยิ่งขึ้น ความมั่นใจเหล่านี้เป็นผลจากความเข้มแข็งของประเทศสมาชิกและความสมดุลที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือ และบูรณาการ พร้อมกับการสร้างประชาคม
เช่น อาเซียน ความร่วมมือและการบูรณาการแทนการแข่งขันและการปะทะจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่น และความปรับตัวของภูมิภาค ซึ่งกุญแจสำคัญต่อกระบวนการดังกล่าวคือ ความเชื่อมโยง ดังนั้น หัวข้อการประชุมในปีนี้ จึงมีความสำคัญยิ่งนัก อนาคตของเอเชียตะวันออก ความเชื่อมั่นและความสามารถในการปรับตัวของภูมิภาคขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเรื่องการสร้างความเชื่อมโยง
น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ความคิดของไทย เกี่ยวกับความเชื่อมโยง ซึ่งในมุมมองของเราประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการที่เราควรให้ความสำคัญ ประการแรก การสร้างเครือข่ายความเชื่อมโยงในภูมิภาค นอกเหนือจากความเชื่อมโยงระหว่างเส้นทางเหนือกับใต้ ตะวันตกและตะวันออก และเส้นทางสู่ประตูเศรษฐกิจทางใต้ ซึ่งต้องผ่านประเทศไทยทั้งสิ้นแล้ว เรายังควรสนับสนุนความร่วมมือใหม่เพิ่มเติม
อาทิ ท่าเรือน้ำลึกทวาย ไทยกำลังร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับพม่าในการพัฒนา หากลองจินตานาการ การขนส่งสินค้าจากมหาสมุทร ไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก ผ่านพม่าและไทยในเวลา 1-2 วัน เมื่อมีความเชื่อมโยงเส้นถนนและทางรถไฟจากทวาย สู่กรุงเทพฯและท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ภูมิภาคนี้จะมีสะพานบนดินที่เชื่อมโยงระหว่างทะเลอันดามันกับอ่าวไทย
หลังจากความมุ่งมั่น 17 ปีในการสร้างถนน ยังมีอีกโครงการหนึ่งที่สำคัญคือการสร้างเครือข่ายรถไฟในภูมิภาคแม่โขง เริ่มจากโครงการ SHRL (Singapore Kunming Railway Link) ที่เป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อระหว่างตะวันออกเฉียงเหนือของไทยสู่ลาวและทางใต้ของจีน
ประการที่ 2 การสนับสนุนองค์ประกอบความเชื่อมโยงอื่น นอกเหนือจากการลงทุนในสาธารณูปโภค เช่น ถนนและรางรถไฟแล้ว ยังเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมั่นใจว่า สินค้าและคนสามารถเดินทางข้ามพรมแดนอย่างเสรี ดังนั้น เราควรจะสนับสนุนกฏหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เราจึงมีความจำเป็นที่จะสรุปความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามแดนของประเทศสมาชิกในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายตามแนวชายแดน อันจะปรับเส้นทางการขนส่งให้เป็นเครือข่ายโลจิกติกและประตูทางเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันเราจำเป็นต้องมีการป้องกันอย่างมีประสิทธิผลเพื่อป้องกันภูมิภาคนี้จากปัญหาการข้ามแดนและปัญหาจากการนำความเชื่อมโยงไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อกิจกรรมที่ผิดกฏหมายข้ามแดน ซึ่งรวมถึงอาชญากรรมข้ามชาติ การค้าอาวุธที่มีอานุภาพทำลายร้างสูง และโรคระบาด
ประการที่3 การพัฒนาความเชื่อมโยง นอกเหนืออาเซียน และเอเชียตะวันออก การบูรณาการจะมาสู่เอเชียตะวันออกไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้น เราควรจะเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างอาเซียนและประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกในก้าวต่อไป
ปัจจุบันมีความเจริญเติบโตในการค้าและเครือข่ายการลงทุนระหว่างเอเชียตะวันออกกับประเทศอื่น ซึ่งรวมถึงเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และประเทศในทวีปอเมริกา ในอีกระยะเวลาไม่นาน เราจำเป็นที่จะต้องพัฒนาความเชื่อมโยงนอกเหนือจากเอเชียตะวันออก และในความเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันมีกรอบความร่วมมือที่มีประเทศนอกเหนือจากเอเชียตะวันออกเข้ามาศึกษาแนวทางความเชื่อมโยงกับเรา เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่ต้องให้มั่นใจว่ามีพลวัตรเกิดขึ้นกับกรอบความร่วมมือดังกล่าว
ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการสนับสนุนความเชื่อมโยงในภูมิภาคและผลักดันการสร้างประชาคมอาเซียนและเอเชียตะวันออก เราจำเป็นที่จะต้องทำให้พื้นฐานของบ้านเราแข็งแรงยิ่งกว่านี้ ภายหลังความไม่เสถียรภาพของการเมืองในปีที่ผ่านมาและภาวะน้ำท่วมในปีที่แล้ว ชาวไทยได้แสดงให้เห็นว่าสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลปัจจุบันและชาวไทยพร้อมที่จะก้าวไปสู่ห้วงเวลาใหม่ของการพัฒนาและการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคในอีก 5 ปีข้างหน้า
โดยเฉพาะแผนที่เราได้วางไว้เพื่อพัฒนาโครงข่ายรถไฟความเร็วสูง ไปยังเมืองหลักของประเทศไทย เช่น เชียงใหม่ รวมถึงโครงการอื่นๆ เช่น การขยายสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกว่า 72 ล้านคนต่อปี เรายังสร้างโครงข่ายการคมนาคมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โครงการดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเอื้ออำนวยเศรษฐกิจ ไทยและชาวไทย แต่สำคัญกว่านั้นจะช่วยสนันสนุนความเชื่อมโยงในภูมิภาค
นอกเหนือจากโครงการสาธารณูปโภคแล้วยังมีการลงทุนกว่า 11,400 ล้านดอลลาร์ ในการบริหารน้ำและป้องกันน้ำท่วม เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยยังคงเป็นฐานการผลิตใหญ่ เราให้ความสำคัญในเรื่องอาหารและโครงการเกษตรกรรม ซึ่งเราเป็น 1 ใน 5 ผู้ส่งออกอาหารโลก ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการส่งออกอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย รวมถึงสินค้าเกษตร ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารอีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ ประเทศไทยกำลังลงทุนและสนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในอุตสาหกรรมที่ไทยเป็นผู้ผลิตหลัก เช่น ยานยนต์, ฮาร์ดดิสก์, ไดรฟ์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมบริการ เช่น บริการทางการแพทย์อุตสาหกรรมทางด้านคิดสร้างสรรค์ (creative industry) การสื่อสารโทรคมนาคม ด้านพลังงานสะอาด บริการด้านการเงิน และการประกันภัย
ส่วนในด้านทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสตรี เพื่อช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ เช่น กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี (Women Development Fund) นอกจากนี้ นโยบายการศึกษา อาทิ โครงการ 1 แท็บเล็ต 1 นักเรียน จะช่วยเตรียมความพร้อมแก่เด็กในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้า เฉกเช่นในปัจจุบัน และโครงการบริการสุขภาพดีถ้วนหน้า (Universal health care) ยังจะช่วยให้ทรัพยากรมนุษย์ของไทยได้รับการปกป้องกันที่ดี
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ประเทศไทยไม่ใช่แค่ประเทศหลักในการเชื่อมโยงภูมิภาคนี้เข้าด้วยกัน เพียงเพราะปัจจัยทางด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่ประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญอีกด้วย เนื่องจากไทยมีแรงงานที่มีฝีมือและทักษะที่ดีเยี่ยม มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และมีนโยบายที่สนับสนุนการเติบโตและเป็นมิตร การมุ่งส่งเสริมภาคเอกชน ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่า จากฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและมีความหลากหลายมากขึ้น จากการเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค มีโครงสร้างพื้นฐานแข็งแรงและสามารถทนต่อภัยพิบัติ และมีความทันสมัย ผ่านการลงทุนและการสนับสนุนการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศของไทย
นอกจากนี้ หากการเชื่อมโยงระดับภูมิภาคช่วยให้ฐานการผลิตที่แข็งแกร่งของไทยเขื่อมต่อและใกล้ชิดกับประเทศอื่นในภูมิภาคแล้ว ยิ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยดำเนินการในด้านต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตสำหรับเศรษฐกิจโลก โดยประเทศไทยจะยังคงดำเนินนโยบายในการให้การสนับสนุน พร้อมทั้งพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อเชื่อมโยงกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียแปซิฟิก ผ่าน ASEAN-led FTAs และ APEC
ทั้งนี้ ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ เราจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกประเทศในภูมิภาคและทั่วโลก ทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี และด้วยภูมิปัญญาและความสามารถของทุกคน การประชุมในครั้งนี้จะช่วยให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันและเกิดการเชื่อมโยงกันมากขึ้นในเอเชียตะวันออก และมั่นใจว่าการประชุมในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์