ธอส. โชว์ผลการดำเนินงานปี54ปล่อยสินเชื่อกว่าแสนล้าน
สำนักข่าวอะลามี่ : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โชว์ผลการดำเนินงานปี 2554 ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ถึง 104,400 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6,987 ล้านบาท พร้อมประกาศแผนงาน ปี 2555 รุกตลาดสินเชื่อบ้าน-เงินฝากครบสูตร เน้นกลยุทธ์พิชิตใจลูกค้า ด้วย Customer Centric ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด เผยทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2555 คอนโดมิเนียมได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นหลังวิกฤตน้ำท่วม
นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แถลงผลการดำเนินงานปี 2554 ว่าธนาคารปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทั้งสิ้น 147,172 บัญชี เป็นเงิน 104,400 ล้านบาท มียอดสินเชื่อคงค้าง 683,762 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.72%หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ไม่รวมหนี้ส่วนขาด จำนวน 47,749 ล้านบาท คิดเป็น 7.12% ของยอดสินเชื่อรวม ลดลง 2,398 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.78% ขณะที่ทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) คงเหลือจำนวน 3,617 ล้านบาท ลดลงถึง 44.08% ในส่วนของสินทรัพย์ธนาคารมีสินทรัพย์รวม 712,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.96% ส่วนเงินฝากธนาคาร มียอดเงินฝากรวม 572,905 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.87%
โดยธนาคารมีผลกำไรสุทธิจำนวน 6,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.96% เมื่อเทียบกับปี 2553 ที่มีกำไรสุทธิ 6,354 ล้านบาท ถึงแม้ว่าธนาคารจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตน้ำท่วมในช่วงปลายปี 2554 ที่ทำให้ธนาคารต้องปิดสาขาให้บริการชั่วคราวถึง 17 แห่ง แต่ ธอส.ยังคงร่วมฝ่าวิกฤตเคียงข้างลูกค้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จำนวนทั้งสิ้นถึง 119,968 บัญชี คิดเป็นเงินต้นคงเหลือ 70,452.53 ล้านบาท
ในส่วนของแผนกลยุทธ์การดำเนินงาน ปี 2555 ธนาคารชูกลยุทธ์มัดใจลูกค้าด้วย Customer Centric เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของลูกค้าเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด มุ่งเน้นขยายฐานตลาดสินเชื่อเพื่อรักษาแชมป์ผู้นำสินเชื่อที่อยู่อาศัย ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันสูง ไปยังกลุ่มลูกค้าหลากหลายโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
ล่าสุดได้ออกโครงการบ้าน ธอส. เพื่อสานรัก สำหรับผู้มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 2.99% นาน 2 ปีแรก ปีที่ 3 ถึงตลอดอายุสัญญา คิด MRR – 0.50% ต่อปี (ปัจจุบัน MRR ธอส. อยู่ที่ 7.25% ต่อปี) ให้กู้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 800,000 บาท วงเงิน 8,000 ล้านบาท และ โครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 3 ปี วงเงิน 20,000 ล้านบาท ก็เป็นโครงการสำคัญที่ธนาคารยังคงเร่งปล่อยสินเชื่อให้ได้ตามเป้าหมาย และยังคงมีโครงการสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับบุคลากรภาครัฐ / Fast Track / LTF/ลูกค้าสวัสดิการ และ กลุ่มวิชาชีพพิเศษดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน เดือนที่ 7 – 24 ดอกเบี้ย เท่ากับ MRR – 2.00% ต่อปี
หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR – 1.00% ต่อปี (ลูกค้าสวัสดิการ) และ MRR – 0.50% ต่อปี (ลูกค้ารายย่อยทั่วไป) และโครงการบ้าน ธอส.-กบข. – สินเชื่อสำหรับข้าราชการที่เป็นสมาชิก กบข. ครั้งที่ 8 ดอกเบี้ย 0% นาน 7 เดือน เดือนที่ 8-24 เท่ากับ MRR – 2.00% หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR – 1.00% ต่อปี
ด้านเงินฝากเน้นขยายฐานเงินฝากเจาะกลุ่มลูกค้ารายย่อย โดยล่าสุดได้ออกผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำขั้นบันได 5 เดือน (Step Up) ดอกเบี้ยสูงสุด 3.65% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยเดือนที่ 1 - 3 เท่ากับ 3.25% ต่อปี เดือนที่ 4 - 5 รับดอกเบี้ย 3.65% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.41% ต่อปี) เงื่อนไขเปิดบัญชีและฝากขั้นต่ำรายการละ 10,000 บาท หมดเขตวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ศกนี้
นายวรวิทย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ธนาคารยังมีผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ที่ได้รับผลตอบแทนสูง “เงินฝากซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษ” อัตราดอกเบี้ยสูงถึง 2.75% ต่อปี เงื่อนไขเปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท สามารถถอนได้เดือนละครั้ง ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงมีความคล่องตัว นับเป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการฝากเงินรูปแบบประจำ และ เร่งเพิ่มฐานลูกค้าบัตร ATM อีก 30,000 ใบ จากที่มีอยู่ 50,000 ใบในปัจจุบัน โดยสามารถใช้ตู้ ATM ร่วมกับธนาคารของรัฐด้วยกันได้ พร้อมพัฒนาและเพิ่มขยายช่องทางการให้บริการ ตั้งเป้าขยายสาขาปีนี้อีก 34 แห่ง รวมทั้งการให้บริการเคลื่อนที่ด้วยรถโมบายแบ็งก์กิ้ง รวมถึงการพัฒนาช่องทางการให้บริการผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Banking) พัฒนาระบบ Internet Banking เพื่อให้บริการข้อมูลด้านเงินฝากและสินเชื่อ การโอนเงินระหว่างบัญชีเพื่อชำระหนี้เงินกู้
นอกจากนั้น ธนาคารยังเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าโดยเป็นตัวแทนให้บริการรับคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตของ บ.ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ซึ่งลูกค้าสามารถติดต่อยื่นคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโรผ่านเคาน์เตอร์สาขาของธนาคารได้ทั่วประเทศอีกด้วย
ในส่วนทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2555 หลังมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ส่งผลให้ความนิยมซื้อคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น โดยมีจำนวนห้องชุดสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ในเขต กทม. และปริมณฑล รวม 34,051 หน่วย แต่ในส่วนของมูลค่าการ โอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปี 2554 ลดลง 20% จากปี 2553 เหลือประมาณ 315,000 ล้านบาท จากยอดรวมในปี 2553 ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 392,200 ล้านบาท ซึ่งที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทุกประเภทรวมกันของปี 2554 ลดลงร้อยละ 24 จากประมาณ 107,000 หน่วย ในปี 2553 เหลือประมาณ 81,500 หน่วย
นายวรวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) ปี 2555 จะมุ่งเน้นการฟื้นฟูที่อยู่อาศัย ควบคู่กับการสร้างรากฐานการศึกษา และพัฒนากีฬาเป็นหลัก อาทิ โครงการบ้าน ธอส.เพื่อมนุษยชาติ สร้าง-ซ่อมบ้านให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม นอกจากนี้ยังมีโครงการสร้างบ้านให้แก่ผู้พิการที่ประสบภัยน้ำท่วมร่วมกับภาคเอกชน โครงการยกระดับมาตรฐานการศึกษาเยาวชนไทย ร่วมกับ สคร.และ สพฐ. / โครงการ 84 พรรษา 84 ถังน้ำใจ ถวายในหลวง สร้างแท็งค์น้ำ 84 แท๊งค์ ในพื้นที่ 40 จังหวัดที่ประสบภัยแล้ง และโครงการ ธอส.อาสา สร้างเสริมชุมชนน่าอยู่ เป็นต้น