Hot Stories
Home   /   Hot Stories  /   "นาทีชีวิต"จากปากเหยื่อคมกระสุนทหารพรานกรณีฆ่า4ศพ

"นาทีชีวิต"...จากปากเหยื่อคมกระสุนทหารพรานกรณีฆ่า4ศพ

ที่มข่าวเฉพาะกิจสำนักข่าวอะลามี่ : รายงาน

               สำนักข่าวอะลามี่ : “หลังเสียงปืนดังขึ้น ผมตัดสินใจเปิดประตูรถกระโดดไปข้างทาง ที่มีแต่พงหญ้าที่มีแต่หนาม แล้วหนีสุดชีวิต โดยไม่สนว่าตัวเองโดนกระสุนยิงเฉียวแผ่นหลังข้างซ้าย และ ทหารก็วิ่งขนานตามมาบนถนน  ทหารตะโกนอะไรสักอย่างกับผม  แต่ผมไม่เข้าใจ” 

                 คือเสียงของ "นายยา ดือราแม "  คนขับรถคันที่เจ้าหน้าที่ทหารพราน ที่  43 สกัดกั้น แล้วกระหน่ำยิงเข้าไปในรถ ผู้ที่กำลังเดินทางจะไปละหมาดญานาซะห์ (ละหมาดให้กับคนตาย) หมู่บ้านใกล้เคียง  โดยอ้างว่า มีคนร้ายจำนวนหนึ่งได้ลงจากรถและใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ เป็นเหตุให้เกิดการปะทะกัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 5 ราย

               จากเหตุการณ์กราดยิงใส่รถกระบะของชาวบ้านหมู่บ้านตันหยงบูโละ  ม.1 ต.ปูโละปูโย  อ.หนองจิก  จ.ปัตตานี  เมื่อคืนวันที่  29 ม.ค. 55  เวลาประมาณ  20.30น. หลังละหมาดอีซา เพื่อเดินทางไปละหมาดญานาซะห์(ละหมาดให้กับคนตาย)  ที่หมู่บ้านทุ่งโพธิ์  9 ชีวิตบนรถกระบะอีซูซุ D-max  สีบรอนส์เงิน  ป้ายทะเบียน บท 3105 ปัตตานี   5  ชีวิต อยู่ในรถ  และอีก 4 ชีวิต อยู่ท้ายกระบะ ที่มี " นายยา  ดือราแม"  เป็นเจ้าของรถและเป็นผู้ขับ

              นายยา บอกว่า การเดินทางไปยังหมู่บ้านทุ่งโพธิ์  ปกติใช้เส้นทางที่ผ่านฐานชุดปฏิบัติการทหารพราน  4302  ม.3 บ้านน้ำดำ ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก  แต่ด้วยเหตุที่ชาวบ้านได้ยิงเสียงปืนดังขึ้นก่อนที่จะออกเดินทางไป  ทำให้ต้องเลี่ยงใช้เส้นทางอื่น  เมื่อขับรถขึ้นเนินเข้ามายังเส้น  418  เห็นอาสาสมัครทหารพราน แต่งชุดดำ 1 นาย ยืนโบกมืออยู่บนถนน  พร้อมตะโกนเพื่อให้รถหยุด

            "เห็นทหารพรานสวมชุดดำโบกมือทั้งสองข้างเพื่อให้หยุด  ตนจึงได้หยุดรถ ซึ่งห่างจากทหารพรานประมาณ 10 เมตร แล้วให้ ..แบฮะ... ซึ่งข้างหน้าใกล้คนขับที่พูดภาษาไทย ได้บอกกับทหารพรานไปว่าจะไปละหมาดญานาซะห์(ศพ)  พูดคุยกันได้ประมาณไม่ถึง 10 นาที  ผมมองเห็นทหารพรานคนดังกล่าวยกปืนขึ้นมาแล้วเล็งมายังรถ ผมคิดในใจว่า  “ทหารจะยิงพวกเราหรอ”  ไม่ทันใด เสียงปืนดังขึ้นจากด้านซ้ายของรถ  มีอาสาสมัครทหารพรานอีกคนยืนอยู่บนเนินยิงกราดเข้าใส่รถในตัวรถ และกระบะหลัง  ผมก้มลงใต้พวกมาลัยรถ กระสุนเฉียดแผนหลังด้านซ้าย รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที ทหารพรานได้ตะโกนให้คนที่อยู่บนรถหนี แต่ระหว่างนั้นก็ได้กราดยิงแบบไม่ยั้งมือ" นายยา กล่าวและว่า

              “ผมจึงตัดสินใจเปิดประตูรถกระโดดไปข้างทาง ที่มีแต่พงหญ้าที่มีแต่หนาม แล้วหนีสุดชีวิต โดยไม่สนว่าตัวเองโดนกระสุนยิงเฉียวแผ่นหลังข้างซ้าย และทหารก็วิ่งขนานตามมาบนถนน  ทหารตะโกนอะไรสักอย่างกับผม  แต่ผมไม่เข้าใจ”

              นายยา เล่าต่อว่า จากนั้น ได้วิ่งด้วยอาการที่เจ็บจากการถูกยิงเฉียดที่หลัง จนมาถึงบ้านของตนเอง  อยู่ห่างจากจากที่เกิดเหตุประมาณ 300 ม. เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เสียงปืนยังไม่สงบนิ่ง ยังคงได้ยินเสียงต่อไปเกือบครึ่งชั่วโมง นายยา คิดว่าคนที่อยู่บนรถเสียชีวิตทุกคนแน่

โอละห่อพบอาวุธโผล่ในรถ

             หลังเกิดเหตุ เวลา 22.00 น. นายลือชัย  เจริญทรัพย์ นายอำเภอหนองจิก และ พ.ต.อ.ชนวีร์  ชมาฤกษ์ ผกก.สภ.หนองจิก  พร้อมกำลังตำรวจ และอส. เดินทางมาถึงใกล้ที่เกิดเหตุ เพื่อจะเข้าไปยังบริเวณที่เกิดเหตุ แต่ถูกปิดกั้นไม่อนุญาตให้เข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุ อ้างว่าไม่มั่นใจในสถานการณ์ อยู่ระหว่างการตรวจสอบ หลังจากนั้นนายอำเภอได้เดินทางอ้อมไปอีกเส้นทาง  จนสามารถเข้าไปในที่เกิดเหตุได้ และได้นำร่างผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่งโรงพยาบาลหนองจิก

               หลังจากการทำแผลแก่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนายยา  ได้เดินทางไปยังสภ.หนองจิก เพื่อให้การ  กลับกลายเป็นว่า ในรถของตนมีอาวุธปืนชนิด AK-47 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนพกขนาด 11 มม. จำนวน 1 กระบอก

รายชื่อ4ศพเหยือกระสุนทหารพราน             

               เช้าวันนี้ (30ม.ค.) คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี  พร้อมชาวบ้านต่างพื้นที่  และเพื่อนร่วมโรงเรียนของนักเรียนที่เสียชีวิตต่างทยอยเดินทางมาเยี่ยม และให้ขวัญกำลังใจแก่ญาติพี่น้องผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมาก  เวลา 11.00  น. จึงได้ทำพิธีอาบน้ำศพ และ ละหมาดญีนาซะห์ ที่มัสยิดบ้านตันหยงลูโบะ แด่ผู้เสียชีวิตไปในเหตุการณ์กราดยิงในครั้งนี้

รายชื่อผู้เสียชีวิตจำนวน 4 ราย ทราบชื่อ ประกอบด้วย


         1. นายรอปา  บือราเฮง  อายุ 18 ปี  (ลูกอิหม่ามมัสยิดบ้านตันหยงลูโบะ  นักเรียน ม.6 โรงเรียนมูลนิธิชุมชนอิสลามศึกษา)
          2. นายสาฮะ  สาแม   อายุประมาณ 70 ปี (อยู่ข้างหน้าคนขับรถ)
         3. นายอาหามะ  สะนิง
          4. นายอัสมัน  ดือราแม อายุ 55 ปี


ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ  4  คน  ประกอบด้วย

          1. นายยา  ดือราแม  อายุ  60 ปี (คนขับรถ ได้รับบาดเจ็บที่แผ่นหลัง ไม่สาหัส)
           2. นายมะแอ ดอเลาะ อายุ 76 ปี บาดเจ็บสาหัส
           3. นายมะรูดิง   แวกะจิ  อายุ 15 ปี   (บาดเจ็บสาหัส)
           4. นายชอบรี  บือราเฮง   อายุ 19 ปี  (บาดเจ็บสาหัส)
           ส่วนอีกคนนายอับดุลเลาะ  นิ  อายุ 15 ปี ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด


          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนจะมาถึงเหตุโศกนาฎกรรม 4ศพและบาดเจ็บอีก4คน ช่วงค่ำหรือประมาณ 19.30น.ของวันที่ 29 ม.ค.55  มีคนร้ายใช้อาวุธปืนเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม.ยิงใส่ฐานปฏิบัติการ กองร้อยทหารพรานที่ 4302 บ้านน้ำดำ หมู่ที่ 3 ต.ปุโละปุโย  อ.หนองจิก จ.ปัตตานี  จำนวน 3 นัด ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

           หลังเกิดเหตุ ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 4302 ได้จัดกำลังออกสกัดกั้นตามแผนเผชิญเหตุของหน่วย โดยนำกำลังพล 1 ชุดปฏิบัติการ ออกมาสกัดกั้นบริเวณบ้านกาหยี หมู่ที่ 1 ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก และได้พบกับรถคันดังกล่าว สงสัยว่าเป็นรถของผู้ต้องสงสัย

ทหารยันมีโจรแฝงในกลุ่มชาวบ้าน 

          ด้าน พล.ต.อัคร  ทิพโรจน์  โฆษกกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้แถลงข่าวเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ว่า  จากเหตุการณ์คนร้ายใช้เครื่องยิงลูกระเบิดยิงใส่ฐานทหารพรานที่ 4302 เมื่อค่ำวันที่ 29 ม.ค.  ทหารพรานชุดดังกล่าวได้สกัดกั้นรถผู้ต้องสงสัย  จึงได้สั่งคนภายในรถให้ลงจากรถ คนร้ายจำนวนหนึ่งได้ลงจากรถและใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ เป็นเหตุให้เกิดการปะทะกัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4ราย บาดเจ็บ 5 ราย จึงได้นำผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาล

            ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าทั้งหมดไม่ได้พกพาบัตรประจำตัวประชาชนติดตัว โดยมีญาติพี่น้องของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมายืนยันตัวบุคคล และรถที่ใช้ก่อเหตุไม่มีป้ายทะเบียน 

             " การปะทะกันครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บแล้ว ยังทำให้ประชาชนที่อาจจะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ใช้เป็นโล่หรือเป็นกำแพงในการเข้าไปลอบยิงฐาน และพยายามที่จะถอนตัวออกนอกพื้นที่ แต่ด้วยเส้นทางที่บังคับ คนร้ายเลยอาศัยรถของชาวบ้านหลบหนี เมื่อเจ้าหน้าที่สกัดกั้นได้ จึงเกิดการปะทะขึ้นทำให้เจ้าหน้าที่ต้องตอบโต้ สรุปได้ว่า ประชาชนผู้บริสุทธิ์อาจตกเป็นเหยื่อของกลลวงจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงก็เป็นได้"พล.ต.อัคร กล่าว.