(ตอน1) สัมภาษณ์พิเศษ : สมัย เจริญช่าง
“ผมเหมือน...สะพานไฟ...ทางการเมือง”
สำนักข่วอะลามี่ : ครั้งแรกที่ "สมัย เจริญช่าง "ให้สัมภาษณ์กับ "สำนักข่าวอะลามี่" ในฐานะสื่อมุสลิมแบบเปิดอก และ ด้วยคำถามและคำตอบที่ตรงไปตรงมา
“ สมัย เจริญช่าง” คือ บุคคลที่ถูกสังคมในแวดวงมุสลิมกล่าวขานมากที่สุด ในช่วงการเลือกตั้งคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย ที่ผ่านมา รวมถึงการเลือกตั้งจุฬาราชมนตรี คนใหม่ ก่อนหน้านี้
ไม่เพียงเท่านั้น “สมัย เจริญช่าง” ยังถูกกล่าวถึงในหลายกรณี ทั้งผู้อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังการเมืองในระบบและการเมืองในองค์กรศาสนา และนี่เป็นคำถามและคำตอบที่เชื่อว่าหลายคนอยากรู้
: เกี่ยวกับเรื่องการเมือง จากนี้ไปวางบทบาทอย่างไร
สมัย : ชีวิตผมจนวันนี้อายุใกล้จะ 60 แล้ว ผมมีประสบการณ์ทำงานถ้าจะยึดเป็นการเป็นงานเป็นกิจจะลักษณะจริงๆ ผมทำได้ 2 เรื่อง ก็คือ 1.ชีวิตความเป็นครู 2.ชีวิต ในการเป็นผู้แทนทางการเมือง(นักการเมือง)
องค์กรศาสนาผมไม่แสวงหา พวกเราทุกคนต้องทำงานศาสนาอยู่แล้ว เพราะเราเกิดมาเป็นมุสลิม อันนี้ต้นทุนของความเป็นมุสลิม เราจะคิดว่าอันนี้เป็นอาชีพไม่ได้ อันนี้ไม่ใช่อาชีพ แต่ว่า สิ่งที่เป็นวิชาชีพของผมคือ ครู กับนักการเมือง
“ วันนี้ผมยังทำหน้าที่ อาจารย์พิเศษเป็นที่ปรึกษาหลักสูตรภาควิชาอิสลามศึกษา ของมหาวิทยาลัยรังสิต อันนี้ยังทำหน้าที่อยู่ แล้วก็คิดว่าจะต้องดูแลเรื่องเหล่านี้ต่อไป “
: แยกบทบาททางการเมือง กับบทบาทการเป็นนักการศาสนา อย่างไร
สมัย : มันอยู่ที่พวกเรา ผมว่าถ้าพวกเราใจกว้าง เรื่องเหล่านี้จะไม่มีปัญหาเลย เขามามองปัจจุบัน แต่เขาไม่มองอดีต เขามองว่าผมเคยเป็น ส.ส. ผมเป็นนักการเมือง และก็อยู่พรรคประชาธิปัตย์ คนที่ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ ก็มองว่า มันไม่น่าจะให้พรรคประชาธิปัตย์มามีบทบาทในองค์กรศาสนา เราเริ่มเอาความรู้สึกอคติมาใส่
“ ผมเป็นเด็กปอเนาะที่สำเร็จการศึกษาปริญญาโทจากสถาบันนิด้า ผมก็เอาทั้ง 2 ส่วนนี้มาบูรณาการเอามาทำงานให้กับศาสนาถ้าเขาคิดตรงนี้เขาก็จะวางความอคติลง เพราะเราเป็นบุคคลสาธารณะต้องยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ ข้อสำคัญต้องดูที่เนื้องาน ผมยืนยันได้ว่า ไปตรวจสอบได้จนถึงทุกวันนี้ ผมไม่มีอะไรเลยที่มีบาดแผล เพราะผมไม่แตะเรื่องเงิน “
ส่วนกรณีคนที่ทำงานศาสนาไม่ควร ยุ่งเรื่องการเมืองผมว่าไม่จริง นักการศาสนา ถ้ายอมรับความจริงกัน ไม่กล้าลงรับสมัครเลือกตั้ง แต่หนีไม่พ้นเป็นหัวคะแนนให้เขาทั้งนั้น ใครเขามีตำแหน่ง มีอำนาจก็เขาไปซูฮกเขา โดยลืมถึงศักดิ์ศรีของความเป็นผู้นำศาสนานี้ซ้ำร้ายมากกว่า
: การเลือกตั้งกก.อิสลามที่ผ่านมาหลายพื้นที่รุนแรงรวมถึงในกรุงเทพฯด้วย
สมัย : ผมเป็นคนที่ยอมรับกฎกติกาของสังคม คนที่โดนหนักที่สุดในครั้งนี้ คือผม ไม่มีจังหวัดไหนที่รุนแรงเท่ากับกรุงเทพฯ และก็ไม่มีคนที่ถูกเสนอชื่อคนไหนที่ถูกติเตียนที่ถูกถล่มมากที่สุดเท่าผม จากสื่อทีวีที่จัดโดยมุสลิม จากวิทยุ จากสื่อสิ่งพิมพ์ บางฉบับ
: คิดว่าทำไมเขาถึงโฟกัสมาที่อ.สมัย
สมัย : คนที่คิดเรื่องอย่างนี้มันเป็นกระบวนการ มันเป็นขบวนการขบวนการเหล่านี้ เขาคงมองว่า หนึ่งในกกก.อิสลามกรุงเทพฯผมอายุไม่มากเท่าไหร่ แต่กลายเป็นผู้อาวุโสที่สุด หรือเขาก็คิดว่านี่คือจุดแห่งการเปลี่ยนแปลง เรื่องหนึ่งคือว่า มันเป็นสะพานไฟ ที่เขาตัดสะพานไฟแล้ว เพื่อที่จะทำให้ไฟฟ้าดับ เพราะวันนี้เขาไปเข้าใจว่า ถ้าไม่มีกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯชุดนี้ จุฬาราชมนตรี “อาศิส พิทักษ์คุมพล” คงอยู่ลำบาก เพราะว่า เป็นจุฬาฯที่มาจากปักษ์ใต้คนแรก คนก่อนๆหน้านี้มีฐานอยู่ในภาคกลาง แต่วันนี้กระเด็นมาจากภาคใต้คนเดียว อาจจะพูดว่า หัวเดียวกระเทียมลีบ
“ผมไม่ได้เป็นหัวคะแนนให้ท่านจุฬาฯ ตอนเลือกตั้งพวกผมไม่ได้สนับสนุนท่านอาศิส เราเห็นว่าประธาน กทม.ของเรา อาจารย์อรุณ บุญชุม มีความเหมาะสม แต่เมื่อ อัลลอฮ์กำหนดว่า จุฬาฯคนใหม่ชื่อ อาศิส เราก็ให้สัตยาบันว่า เรายอมรับท่านเป็นผู้นำ นี่หลักการอิสลาม ที่ท่านนบีบอกว่า ต่อให้ ผู้นำที่เป็นชาวฮับชี เป็นเอธิโอเปีย ผิวดำ ผมหยิก ก็ต้องเคารพผู้นำ ผมก็ทำตามอย่างนั้น “
หลังเลือกตั้งจุฬาฯเสร็จ ท่านจุฬาฯ ก็มอบให้ผมเป็นรองประธานกรรมการกลางฯคนที่ 1 แล้วบังเอิญท่านจุฬาฯป่วย เวลาประชุมแต่ละครั้ง ผมก็ต้องเป็นคนทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุม อาจจะด้วยเหตุเหล่านี้ที่เขาคิดจะกำจัดจุฬาฯแล้วทำได้ไม่สะดวก เพราะว่าผมก็มีประสบการณ์ที่ผ่านงานมาทั้งหมดเป็นอาภรณ์ห่อหุ้มตัวเองที่จะประคับประคององค์กรไปได้ และใช้เหตุใช้ผล เพราะฉะนั้นเขาก็คงคิดว่า ถ้าถล่มผมหลุดจากวงจรนี้ได้สักคน น่าจะกำจัดจุฬาฯได้ไม่ยาก
: การเลือกตั้งกรรมการอิสลาม กระทบตำแหน่งจุฬาฯอย่างไร
สมัย : ที่เชื่อมโยงคือว่าเขามีความพยายามที่จะให้พวกผมกรรมการอิสลาม กทม.หลุดจากตำแหน่ง 26 คน โดยอ้างว่าได้ถอดถอนคนพวกนี้แล้วเพราะขาดคุณสมบัติ จดหมายฉบับที่ถึงมหาดไทย โดย คุณ พิเชษฐ์ ลงนาม ในวันที่ จุฬาฯสวาสดิ์ ถึงแก่อนิจกรรม ก็ลงนามถึงมหาดไทยว่า ถอดถอนพวกผมเรียบร้อยแล้ว เจตนาคืออะไร เพราะจะมีการคัดเลือกจุฬาฯคนใหม่ นำมายืนยันว่าพวกผม 26 คนถูกถอดถอนแล้ว
ทั้งนี้กระบวนการในการถอดถอนกรรมการอิสลามประจำจังหวัด มันต้องผ่านกระบวนการหลายอย่าง 1.ต้องไต่สวนคำร้อง 2.ให้ผู้ร้องชี้แจง ให้ผู้ถูกร้องชี้แจง แล้วเอาเข้าที่ประชุมว่ามีมูลหรือไม่มีมูล ถ้ามีมูลแล้วถึงจะตั้งกรรมการสอบสวน ถ้าสอบสวนแล้วเห็นว่ามีความผิดจริง ก็เสนอให้ถอดถอน ต้องมีมติเห็นชอบไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ถึงจะถอดถอนได้
แต่นี้ไม่มีเลย มีจดหมายฉบับเดียวจากคุณพิเชษฐ ว่าถอดถอนแล้ว พยายามจะดึงดันสิ่งเหล่านี้มาตลอด เพราะอะไรครับ เพราะว่าถ้าบอกว่าชุดนี้ถูกถอดถอนแล้ว ก็จะได้ย้อนกลับไปว่าวันสรรหาจุฬาราชมนตรี 26 คน นี้ไปใช้สิทธิ์ เพราะฉะนั้นการคัดเลือกจุฬาฯไม่ชอบ ต้องเป็นโมฆะ นี่คือสิ่งที่มันประสานกันทั้งหมด
แล้วทำไมถึงผมต้องเป็นตัวอุปสรรคกับขบวนการเหล่านี้ ก็คือเรื่องผลประโยชน์จากฮาลาล วันนี้คุณไปดูที่สำนักคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ยังมีสิ่งที่ไม่สามารถหาคำตอบให้สังคมได้ ในตึก ชั้นบนสุดเป็นสำนักงานจุฬาราชมนตรี ชั้นที่สองเป็นสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย แล้วชั้นล่างเป็นอะไร
“ ชั้นล่างเวลานี้มีเครื่องมือเครื่องอุปกรณ์ห้องแล็ปของบริษัทอินเตอร์เทค เข้ามาอยู่ในนั้น เขามายุคใครเป็นใหญ่ในสำนักงาน เข้ามาได้อย่างไร มีการบีบให้ลงมติโดยกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ว่ากรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ให้ บริษัท อินเตอร์เทค เช่าสำนักงานชั้นล่างเป็นสถาบันตรวจสอบพัฒนาเรื่องของกิจการฮาลาล “
: จะเดินหน้าเรื่องนี้อย่างไร
สมัย : หลังโปรดเกล้าฯให้เรียบร้อย ผมจะเสนอว่า ให้มีการส่งสัญญาดังกล่าวให้สำนักอัยการสูงสุดตีความ ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่บังเอิญในสัญญาผูกมัดกรรมการกลางอิสลามฯ และต้องผูกมัดไปถึงกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทุกจังหวัดมอบอำนาจให้บริษัทนี้เป็นผู้วางระบบฮาลาล นี่แหละครับคือปัญหา ถามว่าทำไมมันถึงมาลงที่ผมคนเดียว เพราะฉะนั้นถ้าตัดตอนผม ไม่ให้เป็นกรรมการอิสลามประจำจังหวัดกรุงเทพฯ มันก็จะตัดสะพานไฟ
: กรณีภาพที่นำมาโจมตีกัน
สมัย : นั่นคือสิ่งที่ผมอยากพูดมานาน แต่ทำไมผมจึงไม่ออกมาพูดเรื่องนี้ เหตุผลก็คือว่า เราต้องถามกลับมา เจตนาของคนที่เอารูปนี้ลงทางสื่อ เจตนาคืออะไร เจตนาว่า 1. คือ ต้องการให้คนมุสลิมมอง ขั้นเบาที่สุดผมเป็นคนที่ทำผิดหลักการศาสนา ไม่น่าไว้วางใจ 2. รุนแรงไปกว่านั้นก็คือ คนที่ไม่เข้าใจเรื่องอิสลามเลยก็คือ ผมนั้นไม่ใช่มุสลิมแล้วเป็นมุรตัดไปแล้ว คนประเภทหลังนั้นมีไม่น้อย ที่เห็นอะไรแล้วไม่ได้สืบสวนข้อเท็จจริงก็ฟันธง
สิ่งเหล่านี้ผมถึงไม่อยากพูด ถ้าพูดไปแล้วเป็นผลเสีย ผลเสียประการที่ 1 คือ คนที่ทำเขาไม่ใช่ตัวจริงหรอก เป็นมือปืนรับจ้าง และทุกครั้งที่จะมีการเลือก ส.ส. จะมีการเลือก ส.ว. จะมีการเลือกอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับผม ฝ่ายขั้วตรงข้ามจะเอารูปนี้ไปเป็นประโยชน์ทุกครั้ง ไปแจกที่ศูนย์กลางบ้าง ไปแจกที่นั้นที่นี่บ้าง
ทั้งหมดเหล่านี้ ผมอยากจะเรียนว่า เตือนกันด้วยความหวังดี เพียงแต่บอกว่าผมทำผิดหลักศาสนา มันก็เป็นประเด็นอันหนึ่งที่ต้องพูดในเชิงวิชาการ แต่ถ้าเป็นประเด็นที่บอกว่ารูปนี้ ผมน่ะเป็นมุรตัดไปแล้วตกศาสนาไปแล้ว อันนี้อันตราย อันตรายก็คือว่า ในหลักการศาสนาอิสลาม ท่านนบีสอนไว้ การฮุก่มว่าคนมุสลิม ไม่ใช่มุสลิม ถ้าสมมุติว่าคนที่เราไปฮุก่มเขา เขาไม่ตกศาสนา คนที่ฮุก่มนี้จะตกศาสนา เรื่องนี้ทั้งหมดพูดในเชิงหลักวิชาการ
: ที่มาที่ไปของรูปนี้
สมัย : เมื่อปี 2539 ตอนนั้นผมเป็น ส.ส.สมัยที่ 2 สภาวัฒนธรรมเขตหนองจอก จัดงานสืบสานประเพณีไทย ในช่วงเดือนเมษายน แล้วเขาก็เชิญผมในฐานะ ส.ส.เชิญร่วมงานสืบสานประเพณีไทย ให้แต่งผ้าไทย วันที่เขาเชิญผมให้ไปนั่งข้างบนนั้นมี 4 คน นั่งเก้าอี้ธรรมดา มีผู้อำนวยการเขตฯมีผมในฐานะ ส.ส. มีผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลสุวินทวงศ์ และก็มีประธานสภาวัฒนธรรม มีชาวบ้านคนพุทธเอาน้ำมารดใส่มือ นี่คือข้อเท็จจริง
ตอนนี้ถ้าถามว่า ถ้าผมไม่ได้เป็น ส.ส.ผมก็ไม่ไป แต่วันที่เราเป็นส.ส. เราถือว่าประชาชนทั้งหมดคือคนที่เราต้องดูแลเขา เรื่องการรดน้ำใส่มือ ผมไม่ถือว่าเป็นอิบาดะห์ ในสิ่งที่ผมคิด หรือ ว่าคนอื่นที่มีหลักฐานมากกว่าผมก็ว่าไป เรานั่งอยู่มีคนเอาขันมารดน้ำใส่มือ ผมนึกว่าผมไม่ได้สะทกสะท้านกับเรื่องเหล่านี้ เพราะว่าวันนั้นเราเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นตัวแทนชาวบ้าน
“ ภาพเหล่านี้ถ้าไม่มีเลือกตั้งก็ไม่มีออก พอมีเลือกตั้งทีก็ออกมาที ถ้าหากว่ามันเป็นความผิดโดยที่เราตีความผิด ผมก็รับสารภาพกับอัลลอฮ์ ว่า สิ่งเหล่านี้มันผิดพลาด หลังจากนั้นผมก็ไม่ไปร่วมกิจกรรมงานอย่างนี้อีกเลย”
: ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรมการกลาง คนต่อจะเป็นใคร
สมัย : ในตำแหน่งเลขาธิการกรรมกลางอิสลามฯ คนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ดีที่สุด คือ พลตำรวจตรี สุรินทร์ ปาลาเร่ ด้วยเหตุผล ประการที่1. ประธานกับเลขาธิการ ต้องทำงานร่วมกันได้โดยเข้าใจซึ่งกันและกันให้เกียรติซึ่งกันและกัน ตอนนี้ประธานกรรมการกลางฯ คือ ท่านจุฬาฯอาศิส พิทักษ์คุมผล ทำงานร่วมกับผู้การสุรินทร์ ปาลาเร่ ได้อย่างดีที่สุด เพราะว่าเป็นคนสงขลาด้วยกัน
2. ท่านผู้การสุรินทร์ มีความเหมาะสมที่จะประสานงานกับพี่น้องในภาคใต้ได้ดีที่สุดเพราะว่าท่านเองชีวิตรับราชการวนเวียนอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา มาตลอด ผมว่าไม่มีใครประสานงานกับตัวแทนของกรรมการอิสลามประจำจังหวัดจากภาคใต้ ได้ดีเท่าท่านผู้การสุรินทร์ ปาลาเร่
3 ความลงตัว คือ คุณพ่อท่านเป็นปากีสถาน เพราะฉะนั้นเวลานี้กรรมการกลางอิสลามฯ มีมาจากเชื้อสายปากีสถาน 8-9 จังหวัด นี่คือสิ่งที่ผมมีเหตุผล อย่าไปบอกว่าผมเชียร์คุณสุรินทร์ เพราะว่าเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อย่าพูดคำนั้น เราต้องดูเนื้อผ้ากัน แต่ถามว่าเจ้าตัวอยากเป็นไหม เจ้าตัวเขาไม่อยากเป็น เขาเบื่อหน่ายที่สุด เขามาขอร้องผมเป็นครั้งที่ 99 แล้ว แต่ผมไม่เอา
: จากนี้ไปกรรมการกลางฯจะแสดงบทบาทอย่างไรต่อสังคม
สมัย : ภารกิจขอคณะกรรมการกลาง จากนี้ไป จะต้องเป็นองค์กรที่ไว้วางใจของสังคมมุสลิม ทำอย่างไรที่จะให้องค์กรของเราเป็นที่ไว้วางใจของสังคมมุสลิมทั้งหมด นอกจากนี้จะต้อง.เป็นองค์กรที่สามารถประสานกับพี่น้องต่างศาสนิกได้ ได้เขาเข้าใจอิสลามอย่างถูกต้อง และทำอย่างไรเราจะเป็นสื่อกลางระหว่างนี้เรามีช่องว่างอยู่มากระหว่างประชาคมมุสลิมกับระบบราชการ
“ วันนี้ทรัพยากรบุคคลเรายังอ่อนแอ เรามีคนเก่งอยู่อีกเยอะมากแต่เราไม่ได้หยิบเขามาให้ มองว่าคนที่คิดต่างจากเราเป็นผู้ที่ทำลายเรา ถ้าคิดอย่างนี้สังคมเราก็เดินไม่ได้ “ สมัยกล่าวและว่า
ขณะนี้ เรากำลังจะทำงาน ไม่ใช่เรากำลังจะเอาชนะกัน ถามว่าที่เราชนะ ใครแพ้ มุสลิมแพ้ ใครอยากได้อะไรเอาไปเหอะ ผมไม่ได้ติดยึดอะไร เพราะผมมองว่า คนที่แข่งกับมุสลิมนั้น เพราะเขาไม่รู้จะแข่งกับใครแล้ว