รายอกีตอ : ในหลวงของเรา
โดย : เอกราช มูเก็ม
สำนักข่าวอะลามี่ : ในความร้อนแห่งไฟใต้นั้น คนไทยมิได้สิ้นหวัง ละยังมีที่พึ่งทางจิตใจของประชาชนในพื้นที่ ด้วยพระบารมีของในหลวง ที่คอยเป็นกำลังใจด้วยการเยือนประชาชนในพื้นที่เป็นระยะๆ
(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯพระราชทานทุนทรัพย์ให้อดีตจุฬราชมนตรี ต่วน สุวรรณศาสน์)
ด้วยความเป็นองค์อุปถัมภกของทุกศาสนานี่เอง ทำให้ชาวไทยมุสลิม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนในพื้นที่โดยไม่เลือกชนชาติและเผ่าพันธุ์ ไม่เว้นแม้ถิ่นกันดาร
ผู้เขียนได้อ่านหนังสือฉบับหนึ่ง จึงขออนุญาตนำมาเสนอ ซึ่งเขียนโดย " ว่าที่ร้อยโทดิลก ศิริวัลลภ" เป็นอดีตข้าราชการในตำแหน่งศึกษาธิการและประชาสงเคราะห์จังหวัด
ว่าที่ร้อยโทดิลก ยังมีโอกาสหลายครั้งตามเสด็จด้วยการเป็นล่ามประจำขบวนเสด็จในพื้นที่อีกด้วยและได้ถ่ายทอดถึง "รายอกีตอ " ไว้ในหนังสืออนุสรณ์งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย ฮ.ศ.1421 (28-30 ต.ค. พ.ศ.2543) ได้น่าสนใจ
คำว่า "รายอกีตอ" มาจากคำว่า "รายอ" ซึ่งหมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน พระมาหกษัตริย์หรือในหลวง ส่วนคำว่า "กีตอ" นั้นแปลว่า เรา หรือของเรา
ดังนั้นคำว่า"รายอกีตอ" จึงแปลว่า "ในหลวงของเรา"
"รายอกีตอ" จึงบ่งบอกถึงความรู้สึกของคนไทยมุสลิมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ อันหมายรวมถึงจังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาส เป็นอย่างดี
คำว่า "รายอกีตอ" จึงไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดา แต่เป็นคำที่มีความหมาย และ มีความสำคัญยิ่งในความเป็นคนไทย ความเป็นชาติไทย และความเป็นประเทศไทย โดยมีองค์ประมุของค์เดียวกัน
และด้วยพระบารมีตลอดจนถึงการเอาใจใส่ต่อประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้นี่เอง ชาวไทยมุสลิมในชายแดนใต้ จึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า " รายอกีตอบาเฮะ "
คำว่า "บาเฮะ" แปลว่า ดี จึงแปลความได้ว่า" ในหลวงของเราดี" และจากนั้นก็ได้พัฒนามาเรื่อยๆจนมาเป็น" กีตอกาเซะรายอกีตอ"
ในเวลาต่อมาคำว่า "กาเซะ" แปลว่า รัก จึงแปลความหมายได้ว่า " เรารักในหลวงของเรา"
ว่าที่ร้อยโทดิลก เล่าในหนังสือดังกล่าวว่า ทุกครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐาน ณ ตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ผู้นำศาสนาอิสลาม ในพื้นที่ก็จะได้รับเชิญให้เข้าเฝ้าฯและร่วมโต๊ะเสวย
"และคราใดที่ตรงกับช่วงเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนที่ชาวมุสลิมถือศีลอด พระองค์จะพระราชทานอาหารพร้อมเครื่องดื่มแก่ชาวมุสลิม สำหรับการ "ละศีลอด" หรือ "ปูกอปอซอ" นับว่าพระองค์เข้าพระทัยในหลักการศาสนาอิสลามโดยแท้จริงอย่างลึกซึ้ง
นอกจากนี้มีใครสักกี่คนที่รู้ว่า พระองค์ยังทรงโปรดเกล้าฯให้ " สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ " ทั้งสองพระองค์ทรงเรียนภาษามลายู
พระองค์ทรงพระราชทานชื่อ หรือ พระนามแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ว่า " อามีนะ" อีกด้วย
และนี่คือส่วนหนึ่งที่ถ่ายทอดและเป็นที่ประจักษ์ ต่อสายตาของปวงชนชาวไทย ไม่เพียงแต่ชายแดนใต้เท่านั้น
นี่คือตัวอย่างพระราชดำรัส ที่ว่า "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา " อย่างแท้จริงครับ.