กรรมการอิสลามฯยื่นหนังสือ กมธ.ศาสนา
อปพส. บิดเบือน สร้างความเกลียดชังพุทธ-อิสลาม
สำนักข่าวอะลามี่ : “ ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ “ กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ระบุว่า มล.ที่เคลื่อนไหวต่อต้านอิสลาม มีการศึกษา แต่ขาดคุณสมบัติผู้ดี นำเรื่องอคติศาสนามาย่ำยี สร้างความเกลียดชังคนในชาติ ล่าสุดยื่นหนัวสือ ถึง ประธานกรรมาธิการศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ดำเนินการขจัดอคติ สร้างความเข้าใจ และสร้างความสมานฉันท์ทางศาสนา
ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้เขียนบทความผ่านโซเชียลมีเดีย หัวข้อ “ ศาสนาที่นำความรุนแรงมาสู่ภูมิภาค “ โดยระบุว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคหนึ่งที่มีความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรมมากที่สุด แต่ท่ามกลางความหลากหลายนี้ก็ไม่เคยมีสงครามศาสนาเกิดขึ้น ฮินดูเคยอยู่มาก่อน แล้วพุทธศาสนาก็เข้ามาก่อเกิดความเปลี่ยนเชิงวัฒนธรรมขึ้น แต่ก็เป็นไปอย่างสันติ
จากนั้นอิสลามก็เข้ามา กลายเป็นศาสนาที่คนจำนวนมากยึดถือโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนแถบชายฝั่งทะเล แต่การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ก็ดำเนินไปอย่างสันติ และทั้งสามศาสนาก็ดำรงอยู่ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์โดยสันติเรื่อยมา แม้บางศาสนาจะสูญเสียอิทธิพลที่เคยมีไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยก่อให้เกิดความกระทบกระทั่งกันแต่อย่างใด
ความขัดแย้ง ความรุนแรงและสงครามมาพร้อมกับลัทธิอาณานิคมของชาติมหาอำนาจทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสเปนที่ยึดครองฟิลิปปินส์ ฮอลแลนด์ที่ยึดครองอินโดนีเซีย อังกฤษที่ยึดครองมาเลเซีย ฝรั่งเศษที่ยึดครองเวียดนาม เป็นต้น วัตถุนิยม ชาตินิยมที่เป็นเลือดเนื้อของลัทธิอาณานิคมนี้คือต้นเหตุสำคัญของความขัดแย้งและความรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ โดยบางครั้ง ศาสนาก็ถูกหยิบมาเป็นเครื่องมือในการแผ่อิทธิพลของคนบางกลุ่ม หรือเป็นแรงบันดาลใจในการต่อสู้กับผู้รุกราน
จนถึงบัดนี้ ศาสนาทุกศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็จะยังเป็นที่มาแห่งความสงบสันติในภูมิภาคได้ ยกเว้นคนบางกลุ่มที่รับอิทธิพลของแนวคิดชาตินิยม ชาติพันธุ์นิยม อำนาจนิยมที่ลัทธิล่าอาณานิคมนำเข้ามา เอามาครอบลงไปบนการนับถือศาสนาของตน ก็จะทำให้ศาสนานั้นกลายเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างความเป็นอริบาดหมางกับคนกลุ่มอื่นได้
แต่ในความเป็นจริง ถ้าเข้าถึงศาสนากันจริง เราจะไม่เป็นอริศัตรูกับศาสนิกชนใด ยกเว้นศาสนิกชนนั้นกระทำการรุกรานเบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งในเอเชียอาคเนย์นี้ไม่มีศาสนาใดสอนให้ทำเช่นนั้น ยกเว้นศาสนาวัตถุนิยม ชาตินิยมและอำนาจนิยมที่ทรงอิทธิพลมากกว่าศาสนาใดในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ยังได้เขียนอีกบทความระถึงกลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อตเนอิสลาม ในขณะนี้ โดยเฉพาะ คนที่ใช้คำนำหน้าว่า ม.ล.เป็นคนมีการศึกษา แต่ขาดคุณสมบัติผู้ดี เพราะเอาศาสนามาย่ำยีโดยอคติ และปราศจากความรู้จริง
“ การป้องกันตัวเป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนทุกคน การทำสงครามในอิสลามคือการใช้สิทธิในการป้องกันตัวตามธรรมชาติ ไม่ใช่การอนุญาตให้ฆ่าผู้อื่นตามการมโนของ ม.ล.บางคนระบุ”ดร.วิสุทธิ์ กล่าวและว่า
กรอบใหญ่ในการทำสงครามตามที่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานบัญญัติไว้ ปรากฎในโองการที่ 190 บท อัตเตาบะฮ ดังนี้ " จงทำสงครามในหนทางแห่งอัลลอฮกับคนที่ก่อสงครามกับพวกเจ้า และจงอย่าละเมิดความชอบธรรม แท้จริงองค์อัลลอฮไม่ทรงรักผู้ละเมิด"
ดร.วิสุทธิ์ ยังได้อธิบายโองการนี้เพิ่มเติมว่า พิจารณาบทบัญญัตินี้จะเข้าใจได้ว่า
1.มุสลิมจะก่อสงครามกับผู้อื่นไม่ได้ ยกเว้นคนอื่นมาหาเรื่องก่อสงครามก่อน
2. การสงครามที่อนุญาต ต้องอยู่ในครรลองแห่งอัลลอฮ ไม่ใช่สงครามเพื่อแย่งดินแดน ไม่ใช่สงครามเพื่อชาติพันธุ์ และไม่ใช่สงครามเพื่อแย่งทรัพยากร
3.แม้ในยามสงคราม ก็ต้องระวังไม่ให้ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่นและไม่ละเมิดหลักความชอบธรรม จะไปฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ ไม่ฆ่าผู้หญิง เด็ก คนชราและนักบวชรวมทั้งไม่ทำลายทรัพยากร
4.หากไม่อยู่ในกรอบบัญญัติทั้งสาม ก็ไม่นับเป็นการสงครามตามแนวทางอิสลามแต่อย่างใด
ส่วนโองการอื่น ๆ ในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับการสงคราม ล้วนเป็นส่วนปลีกย่อยของโองการนี้ หมายความว่าต้องอยู่ภายใต้กฎกติกาที่โองการนี้กำหนดเท่านั้น
ล่าสุด ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึง ประธานกรรมาธิการศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ดำเนินการขจัดอคติ สร้างความเข้าใจ และสร้างความสมานฉันท์ทางศาสนา ทั้งนี้ประเทศไทยอยู่ด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ หรือ อปพส.พยายามเคลื่อนไหวให้เกิดความเกลียดชังของคนในชาติที่นับถือศาสนาพุทธแลพะอิสลาม อันเป็รนอันตรายและกระทบความสัมพัน์อันดีของคนในชาติ จึงอยากให้ดำเนินการต่อไป