ส่วยแรงงานจีน....ภัยร้ายในทางเศรษฐกิจ
: กองบรรณาธิการ สำนักข่าวอะลามี่ รายงาน
สำนักข่าวอะลามี่ : ไม่เพียงแต่นักธุรกิจในจังหวัดเชียงรายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงนักธุรกิจในกลุ่มจังหวัดในภาคเหนือด้วยที่มีความพยายามจะทำการค้ากับประเทศจีน ผ่านเส้นทาง R3-A และเส้นทางตามแม่น้ำโขง โดยเข้าใจว่า จีน....เป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมหาศาลโดยเฉพาะจีนตอนใต้ที่ทีอาณาเขตเชื่อมต่อกับสปป.ลาว และไทย ที่จังหวัดเชียงราย ได้อย่างสะดวก
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาภาคธุรกิจ พยามปรับตัวเข้าหาประเทศจีน โดยการหาช่องทางการค้า แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความพยายามเท่านั้น เพราะนักธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่ต้องบอบช้ำกลับมาด้วยเหตุผลอันเนื่องจากมาตรการและระเบียบทางการค้าที่แน่นหนา ชนิดที่เรียกว่า ”เจาะไม่ลง” เลยทีเดียว
หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการเจาะเข้าไปในตลาดจีนไม่ใช่เรื่องง่ายๆโดยเฉพาะปัญหาที่ว่าด้วยมาตรการและกฏระเบียบทางการค้า ซึ่งนั่นหมายถึงการกีดกันทางการค้านั่นเอง
แต่ในทางตรงกันข้าม การรุกเข้ามาของนักธุรกิจจีนในประเทศไทยกลับกลายเป็นเรื่องที่ภาครัฐยังไม่เคยมาติดตาม และให้ความสนใจอย่างจริงจังว่าการรุกคืบเข้ามาชนิดที่ว่า ”กลืน”เลยทีเดียวนั้น จะเป็นผลเสียหายในระยะยาวอย่างไรบ้าง
แค่เรื่องง่ายๆว่าในอำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของปัจจุบันมีธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่เป็นของชาวจีน แต่ภาพที่สื่อออกมาต่อสาธารณชนพยายามชี้ให้เห็นว่านั่น เป็นธุรกิจของคนไทยเพราะผู้จัดการหรือผู้บริหารเป็นคนไทย
ยิ่งไปกว่านั้นคือ การผู้สัมพันธ์ไว้ในเชิงสามีภรรยาเพื่อให้ได้สิทธิ์การทำธุรกิจอย่างไม่น่าเกลียด
ข้อมูลจากนักธุรกิจไทยในจีนระบุว่า ในปัจจุบันสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังประเทศจีนจะอยู่รอดได้มีเพียงสินค้าโหมดอาหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เหลือต้องประสบกับความล้มเหลวแน่นอนเพราะสินค้าอื่นๆของไทยถูกลอกเลียนแบบหรือก๊อปปี้ได้ง่ายเพราะความไม่รู้เท่าทันของหน่วยงานไทยที่พานักลงทุนจีน บางกลุ่มไปดูงานเช่นบ้านถวาย จ.เชียงใหม่ มีคณะนักลงทุนจีนนำพระพุทธรูปแกะสลักไม้ ไปหล่อเรซินจำหน่ายไปทั่วโลกแล้ว โดยนักธุรกิจจีน หรือ แม้แต่ นวดสปาในจีน ก็กลายเป็นธุรกิจแอบแฝงไปหมด ขณะที่สินค้าไทยที่จะส่งไปยังจีนถูกมาตรการทำให้ส่งเข้าไปได้ยากต่างๆ นานา
ปัจจุบันนอกจากเราจะส่งออกได้เพียงโหมดอาหารแล้วยังพบว่ากระบวนการส่งออกทั้งหมด ตกอยู่ในมือนักธุรกิจจีนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าผลไม้ เช่น ลำไย ผลไม้จากภาคตะวันออก ฯลฯ เข้าไปครองตลาดจนหมด สังเกตุได้จากตลาดสี่มุมเมืองสำเพ็ง ตลาดต่างจังหวัด ล้วนมีนักธุรกิจจีน เข้าไปครอบครองการส่งออก โดยเฉพาะในต่างจังหวัดเช่น อุดรธานี-หนองคาย พบมีกว่าแสนคน ฯลฯ
ขณะที่สำเพ็งมีหลายหมื่นคนแล้วโดยนักธุรกิจจีนเข้ามาเข้ามาในรูปแบบเดียวกันหมดคือถือวีซ่านักท่องเที่ยวและเข้ามาหาภรรยาน้อยหรือบุตรบุญธรรมในไทยและทำการค้าในนามญาติใหม่ดังกล่าวด้วยการเข้ายึดครองการกระจายตลาดและส่งออกสินค้าไทยดังกล่าวกลับไปขายยังประเทศจีน
มีกระแสว่ามีการจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ไทยหลายหน่วยเพื่อให้สามารถประกอบกิจการได้หัวละ 1,500-2,000 บาท ทุกเดือน นับเป็นมูลค่ามหาศาล เมื่อคำนวณจากคนจีนที่แฝงเข้ามาในลักษณะดังกล่าวหลายหมื่นคน นี่ถือเป็นการบ่อนการทำลายเศรษฐกิจไทยอีกทางหนึ่ง
ภาครัฐหลายหน่วยงานพยายามพูดถึงเรื่องการค้าระหว่างกันแต่ในอีกด้านหนึ่งนั้น ปัญหาเหล่านี้ กลับไม่ได้มีการดูแลแก้ไขแต่อย่างใด