อ่าวนางฟีโอเร่ : ยุคผลัดใบ สู่ ”ลลิดา ขยันการ “ ทายาทธุรกิจ
โดย ฐิติญา มูเก็ม
สำนักข่าวอะลามี่ : หากจะกล่าวถึงนักธุรกิจภาคบริการ และโรงแรมในพื้นที่อ่าวนาง จังหวัดกระบี่ โดยเฉพาะนักธุรกิจมุสลิม อาจกล่าวได้ว่าแทบจะนับตัวบุคคลได้เลยทีเดียว
หนึ่งในนักธุรกิจมุสลิมอ่าวนาง ปฎิเสธไม่ได้ว่าต้องนับชื่อ ”คุณสมเกียรติ ขยันการ”ปัจจุบันเป็นเจ้าของธุรกิจโรมแห้องพัก ภายใต้แบรนด์ ” อ่าวนางฟิโอเร่ รีสอร์ท” บนพื้นที่กว่า 70 ไร่ มูลค่าทางธุรกิจกว่าพันล้านบาท
กว่า 30ปีที่ คุณสมเกียรติ ขยันการ ได้สั่งสมประสบการณ์การทำธุรกิจโรงแรม หลังจากเริ่มจากการลงทุนทำรีสอร์ท ” ไร่เลย์ วิลเลจ” หาดไร่เลย์ แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของกระบี่อีกแห่งหนึ่ง
ฉบับนี้ทีมงาน นิตยสาร ดิ อะลามี่ นั่งจับเข่าคุยในสไตล์แบบเรียบง่ายเป็นกันเอง กับคุณสมเกียรติ ขยันการ พร้อมด้วยทายาทธุรกิจ “ ลลิดา ขยันการ ” ที่เพิ่งจบการศึกษา ระดับปริญญาโท สาขา MSc in International Hotel and Tourism Management จาก Oxford Brookes University ณ ประเทศอังกฤษ
เรามาทำความรู้จักและแลกประสบการณ์ของคนสองวัย หรือ อาจเรียกได้ว่า ในวันที่ “ ฟิโอเร่ ยุคผลัดใบ “ ก็ว่าได้
วันนี้ ลลิดา ขยันการ นั่งในตำแหน่ง รองประธานบริหาร อ่าวนางฟิโอเร่ รีสอร์ท อย่างเต็มตัวอำนาจการบริหาร รองลงมาต่อจาก คุณสมเกียรติ ขยันการ ในฐานะผู้เป็นพ่อ เท่านั้น
คุณสมเกียรติ เล่าให้เราฟังถึงการก่อร่างสร้างตัวว่า จากคนธรรมดาพื้นเพอ่าวนาง ไม่ได้เรียนในสถาบันการศึกษาระดับสูง แต่จากประสบการณ์เมื่อ 30 ปี ที่เคยมีเพื่อนเก่าชาวฝรั่ง หลายคน ทำให้เขารู้จักการใช้ภาษาอังกฤษ จนสามารถนำมาต่อยอดธุรกิจ ปัจจุบันเขาสามารถสร้างอาณาจักร”ตระกูลขยันการ ” และมีที่ดินส่วนตัวในพื้นที่อ่างนางมากกว่า 200 ไร่
“ สิ่งที่เราสะสมมาทั้งหมด เพื่อให้ลูกๆมาต่อยอดธุรกิจ และสานต่อให้เกิดประโยชน์ในทาง”
สมเกียรติ บอกว่า ที่ผ่านมาได้วางแผนในการส่งลูกสาวไปเรียนโรงเรียนนานาชาติที่หาดใหญ่ ก่อนจะไปเรียนระดับปริญญาตรี ที่สิงคโปร์ และจบปริญญาโท จากประเทศอังกฤษ ซึ่งผ่านการทดสอบและการอดทนในหลายเรื่อง
“ หลังจากจบมัธยมศึกษาตอนปลายจากหาดใหญ่ เราสองคนพ่อลูกคุยกันว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนดี พร้อมๆกับพิจารณาสถานศึกษาทั้งในและต่างประเทศ แต่ทันทีที่ลูกสาวบอกว่า จะเลือกเรียนด้านการโรงแรม ที่สิงคโปร์ ผมไม่รีรอ รุ่งเช้าก็จัดกระเป๋าจองตั๋วไปทันที ” สมเกียรติกล่าวและว่า
ในวันที่เขาตัดสินใจไปเรียนที่สิงคโปร์ ทำให้เราดีใจมาก นั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่า ลูกสาวคนที่เราวางอนาคต เริ่มคล้อยตาม และเห็นทางเดินร่วมกันกับเราตามเจตนาที่วางไว้
แต่การไปเรียนสิงคโปร์ต้องอดทนกับการใช้ชีวิต เพราะที่นั่นค่าครองชีพสูง สภาพความเป็นอยู่ไม่ได้สบายเหมือนบ้านเรา ผมบอกกับลูกสาวว่า” ..ถ้าจะตัดสินใจกลับบ้านพร้อมกับพ่อ พ่อก็ไม่ว่านะ..” แต่ลูกสาวเอ่ยคำคำหนึ่ง...” พ่อ..ถ้าเราไม่สู้วันนี้ เราจะมีวันหน้าได้ยังไง วันนั้น ผมเดินกลับหลังหันพร้อมน้ำตา ด้วยความภาคภูมิใจ ..”
คนรุ่นพ่อต่อสู้ในรูปแบบการปฎิบัติงาน ทำงานกับมือตลอดเรียนรู้ด้วยตัวเอง สามารถทำงานในระบบโรงแรมได้ทั้งระบบ เพราะเรามีประสบการณ์ แต่การนำวิชาความรู้มาเติมเต็มธุรกิจ นับเป็นการลงตัวธุรกิจที่สำคัญ
วันนี้ “ ลลิดา ขยันการ” หรือ น้องไลล่า สาวน้อยในวัย 22 ปี แต่ภารกิจและบทบาทที่หนักอึ้ง เพราะต้องมารับไม้ต่อจากคุณพ่อ ในฐานะทายาทธุรกิจ อ่าวนางฟิโอเร่ รีสอร์ท ธุรกิจพันล้าน และอีกโรงแรมคือ ไร่เลย์วิลเลจ
น้องไลล่า บอกว่า แม้ว่าจะได้รับอำนาจเต็มจากท่านประธานฯ แต่หลายเรื่องจะต้องมาเรียนรู้และต้องแสวงหาประสบการณ์ต่อไป โดยเฉพาะการที่เราห่างจากบ้านไปเวลานาน ดังนั้นเมื่อมีการส่งไม้ต่อเร็ว ก็ต้องเรียนรู้ให้เร็ว ที่ผ่านมาเราจะอยู่ในสภาพสังคมฝรั่ง ดังนั้นบางอย่างเราต้องปรับตัวในการทำงานและเรียนรู้วัฒนธรรมของคนไทยให้มากขึ้น
“ แม้ว่าเราจะจบมาด้านการโรงแรมโดยตรง เรามีแต่ทฤษฎี แต่ประสบการณ์การบริหารเราต้องเรียนรู้จากคุณพ่อ และเพื่อนร่วมงาน รวมถึงวัฒนธรรมองค์กร หรือการใช้ภาษา ซึ่งฝรั่งจะพูดตรงๆ แต่สำหรับคนไทยเราก็พยายามหาคำมาพูดเพื่อให้ไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดในการสื่อสาร ”
ไลล่า บอกว่า สิ่งสำคัญจากนี้ไปนอกจากจะมาดูระบบการบริหารจัดการ ปิดช่วงว่างทางธุรกิจแล้ว เราจะต้องสร้างความเป็นเอกลักษณ์ สร้างความแตกต่างเพื่อให้เกิดความพึงพอใจกับลูกค้า เพราะธุรกิจจะเดินได้ ต้องมีการลงทุน เมื่อลงทุนต้องมีลูกค้า เมื่อมีลูกค้า เราต้องมีกำไร อีกทั้งจะต้องสร้างมาตรฐานของโรงแรม ภายใต้แบรนด์ ฟิโอเร่ ต่อไป
วันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางธุรกิจของ” ลลิดา ขัยนการ” ในฐานะทายาทธุรกิจ แต่ยังมีภารกิจและมีสิ่งท้าทายกับการลงทุนของ” กลุ่มขยันการ “ อีกหลายโครงการในอนาคต