“Kingdom”สัญชาติจาก Hong Kong ทุ่มงบ 4.5 หมื่นล้านลงทุนในไทย
สำนักข่าวอะลามี่ : Kingdom Capital Holdings ยักษ์ใหญ่สัญชาติ Hong Kong ทุ่ม 45,000 ล้าน ลงทุนภาคใต้ของประเทศไทย สร้างมูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรมยางพารา ส่งออกอาหารฮาลาล ประเดิมโปรเจคแรกสร้าง เทอร์มินัลฮัจย์ ที่สงขลา เชื่อมภูมิภาคอาเซียน
ที่โรงแรมโฟร์วิง ศรีนครินทร์ วันที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมา บริษัท คิงดอม แคปปิตอล โฮลดิ้ง (Kingdom Capital Holdings Ltd. Thailand) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ทีประเทศฮ่องกง ได้ลงนามในสัญญากับ บริษัท จีดับเบิลยู ซิตี้ จำกัด (G.W.city co.,Ltd ) และ ดร.บุญญาพร เดชาเศรษฐ์ เพื่อก่อสร้างโครงการ Songkhla Good Will City บริเวณ ตำบลคลองแห อ.หาดใหญ่ สงขลา มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท
ดร.บุญญาพร เดชาเศรษฐ์ เปิดเผยว่า โครงการ Songkhla Good Will City เป็นโครงการก่อสร้างฮัจย์เทอร์มินัล สถานที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่จะเดินทางทางไปประกอบพิธีฮัจย์และอุมเราะห์ แบบวันสต็อปเซอร์วิส โครงการ แหล่งช้อปปิ้ง โรงแรมที่พักแบบบูติกโฮเต็ล คอนโดมีเนียม และออฟฟิศ มูลค่าลงทุน ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัท Kingdom Capital Holdings Ltd. และ G.W.city co.Ltd
“โครงการ Songkhla Good Will City ก่อสร้างบนทำเลที่สวยงาม บริเวณใกล้มัสยิดกลางจังหวัดสงขลา ระหว่างอ.เมือง สงขลา กับ อ.หาดใหญ่ จะเป็นสถานที่อำนวยความสะดวกสำหรับผู้จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์และอุมเราะห์ ทั้งนี้ ฮัจย์เทอร์มินอล จึงเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของมุสลิม ที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์และอุมเราะห์ ตลอดจนญาติมิตรที่เดินทางมาส่ง ” เธอ กล่าว
ดร.จอห์น บีเคลอร์ (Dr. John B.KLERR)(Ph.D) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิงดอม แคปปิตอล โฮลดิ้ง เปิดเผยว่า บริษัทเป็นโฮลดิ้งคอมปานี ให้ความสนใจการลงทุนเริ่มแรกในพื้นที่ภาคใต้และขยายทั่วพื้นที่ของประเทศไทย โดยจะลงทุนใน 3 โครงการ มูลค่าการลงทุนประมาณ 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (45,000 ล้านบาท) ประกอบด้วย
โครงการแรก โครงการสงขลากู๊ดวิว มูลค่าการลงทุน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการลงทุนตามข้อตกลงตามโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจไทย-มาเลเซียและอินโดนีเชีย (Indonisia-Malaysia-Thailand Growth Triangle (IMT-GT ) โดย บจ. คิงดอม แคปปิตอล โฮลดิ้ง ลงทุน 70 % ส่วน จีดับเบิลยูซิตี้ ลงทุน 30% ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างแล้ว บนที่ดิน 50 ไร่ ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 24 เดือนจะแล้วเสร็จเปิดให้บริการได้ประมาณต้นปี 2017
โครงการที่ 2 เป็นโครงการคอมมอนดิตี้ ที่ทางบริษัทประสานกับรัฐบาลไทยในการจัดส่งสินค้าไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาหรับ ได้มีการประสานเพื่อซื้อสินค้าไว้บ้างแล้ว ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะขยายตัวเป็น 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2016 โดยสินค้าที่จะส่งออกไป อาทิ น้ำตาล ข้าวสาร และอาหารฮาลาล อื่นๆ
ส่วนโครงการที่ 3 เป็นการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยจะมีการก่อสร้างโรงงานจำนวน 2 โรงงาน บนพื้นที่ 2,500 ไร่ ในพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยจะเลือกพื้นที่ๆมีความสะดวกอยู่ใกล้สนามบิน ท่าเรือ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆด้านโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนจะใช้พื้นที่ตรงไหนยังไม่กำหนดชัดเจน อยู่ระหว่างการเจรจากับรัฐบาลไทยเพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสม
สำหรับโรงงานที่จะก่อสร้างเป็นโรงงานแปรรูปยางพาราผลิตเป็นล้อรถยนต์ ที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 3 ตัน และผลิตสายพานที่มีคุณภาพสูง โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ ที่สามารถผลิตสินค้าคุณภาพดี ซึ่งจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี จะเดินสายพานการผลิตได้ประมาณปี 2017
“เมื่อเปิดดำเนินการแล้ว เราจะใช้ยางพาราประมาณ 1ใน 4 หรือ 1 ใน 3 ของประมาณการผลิตยางในประเทศไทย โดยจะทำสัญญาแบบ Contact farming กับเจ้าของสวนยางให้ขายยางให้กับบริษัทระยะเวลา 15 ปี เพื่อการันตีวัตถุดิบว่า จะไม่มีปัญหาในการผลิต ซึ่งสินค้าที่ผลิตจากโรงงานจะส่งขายในประเทศให้กับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ประมาณ 80% อีก 20% จะส่งออก ” ดร.จอห์น กล่าว