Hot Stories
Home   /   Hot Stories  /   แนะรัฐตั้งเขตเซฟตี้โซนอุตสาหกรรมชายแดนใต้

แนะรัฐตั้งเขตเซฟตี้โซนอุตสาหกรรมชายแดนใต้

โดย อัสวิน ภัฆวรรณ

            สำนักข่าวอะลามี่ภาคเอกชนชายแดนใต้แนะ รัฐบาลต้องตั้ง “ เซฟตี้โซนอุตสาหกรรม ”  สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน เผย แรงงานฝีมือ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หวั่นกระทบระยะยาวต่อการลงทุน


            นายปกรณ์ ปรีชาวุฒิเดช ประธานคณะกรรมการฝ่ายเศรษฐกิจ  สภาที่ปรึกษาบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้  (สปต.) ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)  บอกว่า  3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  เศรษฐกิจครัวเรือนของประชาชนยังมีกำลังซื้อ  และยังอยู่ในเกณฑ์ดี  แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมตัวหลักคือยาง ราคาจะอ่อนตัวลงมามากก็ตาม  ที่ต่างกับปี  2554 - 2555  ที่ราคาดีที่เศรษฐกิจค่อนข้างจะขยายตัวเติบโตในระดับการค้าครัวเรือน

            เขายังบอกอีกว่า  การลงทุน การค้า ที่ยังขยายตัวได้ดี  คือร้านอาหารมุสลิม  ร้านเสื้อผ้ามุสลิม  และร้านหนังสือ  เป็นต้น  ซึ่งเป็นการลงทุนเองของรายเก่าและคนในพื้นที่  ส่วนลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมขนาดกลาง ขนาดเล็ก และใหญ่ ไม่ได้เกิดขึ้น   เพราะเกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์ความไม่สงบในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น

            “แต่เศรษฐกิจที่กลับสวนทางกันคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย  อาคารพาณิชย์ที่ดิน  ราคาค่อนข้างดี  ตลอดจนมีการซื้อที่ดินสะสมกัน  โดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่  การค้า เศรษฐกิจ โดยอาคารพาณิชย์ ขนาด 2 ชั้น ราคาต้น ประมาณ 2.6 – 2.8 ล้านบาท และระยะเปลี่ยนมือ 3.8 ล้านบาท ส่วนที่ดินราคาสวนยางที่ริมถนนสายต่าง ๆ  ราคาประมาณ 300,000 บาท / ไร่ ซึ่งถือว่าราคาอยู่ในเกณฑ์ดีเหมือนกับพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ทั่วไป”

            ส่วนมาตรการการส่งเสริมบรรยากาศเศรษฐกิจให้ขยายตัวเติบโตในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  รัฐบาลจะต้องมีมาตรการทางด้านการลงทุน   โดยสิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุนในระยะยาวพิเศษทางด้านภาษีลดหย่อนระยะยาว ประเภท 5 ปีขึ้นไป  พร้อมกับสนับสนุนสินเชื่อ  โดยสนับสนุนเป็นพื้นที่พิเศษ  อีกทั้งจะต้องตั้งเขตเซฟตี้โซนอุตสาหกรรม   นอกจากเขตเซฟตี้โซน เขตสำคัญทางด้านการค้า   ที่ได้ดำเนินการมาก่อนแล้ว

            “แต่ในขณะเดียวกันทางด้านแรงงานฝีมือในพื้นที่ จะขาดแคลน เพราะพวกแรงงานฝีมือได้หลั่งเข้าภาครัฐกันมาก  โดยสมัครไปเป็นอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ทหารพราน (ทพ.) และตำรวจ (ตร.) เป็นต้น   ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่มีประมาณถึง 60,000 คน โดยภาพรวม”   นายปกรณ์  กล่าว  และว่า

            ในส่วนระดับปริญญาตรี  ก็หันไปเป็นลูกจ้างในโครงการของรัฐ  อีกทั้งเป็นบัณฑิตอาสาโครงการต่าง ๆ ไม่ได้เกิดทักษะกับที่เรียนมาในสาขานั้น   ส่วนในวัยเข้าสู่แรงงาน และในวัยแรงงาน  ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีการลงทุนรายใหม่เกิดขึ้นมารองรับ   แรงงานจึงไปทำงานยังประเทศมาเลเซีย  และยังได้อัตราค่าแรงที่สูงกว่า

            ปัญหานี้จะต้องดำเนินการรองรับในการแก้ไข เพราะจะเกิดผลกระทบทางด้านนี้ในระยะยาว 10 - 20 ปี.