Hot Stories
Home   /   Hot Stories  /   'วิภา สมศรี'สาวสกล คนล่าฝันสู่ธุรกิจใหญ่ในอียิปต์

“ วิภา สมศรี” สาวสกล คนล่าฝัน สู่ธุรกิจใหญ่ในอียิปต์

ดลหมาน ผ่องมะหึง  รายงาน

จากชีวิตสาวชนบทของผู้หญิงที่ได้รับการศึกษาน้อย .. แต่เธอไม่ทิ้งความฝัน
 
                  นิตยสาร ดิ อะลามี่
ฉบับนี้ ขอนำเสนอเรื่องราวของสาวไทยนักสู้  แม้เส้นทางชีวิตอดีตจะเติบโตและใช้ชีวิตกับวิถีชนบทในภาคอีสาน ที่หลายคนพูดเสียงเดียวกันว่าไร้ความเจริญ  แต่เธอก็ไม่เคยท้อ.....

                ปัจจุบันนี้เธอกลายเป็นสาวคนดัง เจ้าของร้านอาหารไทยในเมือง เฮอร์กาด้า Hurghada  และ เมืองเอลกูน่า El Gouna  เมืองท่องเที่ยวที่มืชื่อเสียงในประเทศอียิปต์ ถึง2 แห่ง  นอกจากนี้ยังมีร้านสปานวด ร้านเสริมสวย บริษัททัวร์ และเตรียมจะกลับไปทำธุรกิจสปาครบเซ็ท ที่บ้านเกิดเมืองนอนของเธออีกด้วย

                 ...ที่น่าสนใจที่สุด คือ การเดินทางมาประเทศอียิปต์  เธอไม่มีความรู้ด้านภาษาทั้งการอ่านและการเขียน เธอมีแค่ประโยคเดียวเป็นการประทั้งชีวิตของการเริ่มในในต่างแดน คือ  “See Book”  เราลองมาติดตามชีวิตที่น่าทึ่งของเธอพร้อมๆกันเลยดีกว่านะครับ

                  วิภา สมศรี คือชื่อจริงของเธอตามบัตรประชาชน เป็นคนจังหวัดสกลนคร มีลูกสามคน  ปัจจุบันเป็นโสดอีกครั้ง เดิมทีเธอมีอาชีพเปิดร้านเสริมสวยในหมู่บ้าน เล็กๆที่บ้านเกิด แต่ด้วยสภาพทางเศรษฐกิจไม่ค่อยดี อีกทั้งยังต้องมีภาระเลี้ยงดูลูกอีกสามคน

                 ความคิดของสาวบ้านนอกคนหนึ่ง กอปรกับเคยได้ยินว่าการทำงานในต่างแดนสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ จึงเป็นความฝันของเธอมาตลอด

                ก้าวแรกที่เธอคิดว่าน่าจะทำให้เธอเดินทางไปยังต่างประเทศได้คือการเป็นหมอนวดแผนโบราณ เพราะส่วนใหญ่จะได้รับการยอมรับในเรื่องฝีมือ เธอจึงตัดสินใจเดินทางไปเรียนนวดระยะสั้นๆ แค่หนึ่งอาทิตย์ แล้วก็ตัดสินใจไปสมัครงาน และเธอก็ได้รับการตอบรับ

              “ดีใจมากที่จะได้เดินทางมาทำงานในต่างประเทศและประเทศอียิปต์ คือประเทศที่เราจะต้องเดินทางไปทำงาน ซึ่งเราเองก็ไมเคยรู้มาก่อนว่าอียิปต์เป็นอย่างไร แค่รู้ว่าเป็นเมืองนอก ก็วาดภาพไว้สวยหรู “  วิภา ย้อนเล่าอดีตให้ฟัง

              เธอตัดสินใจเดินทางมาอียิปต์ด้วยความหวัง ความตั้งใจ โดยลืมไปว่า เธอไม่มีความรู้ในเรื่องภาษาเลย ครั้นเมื่อเหยียบสนามบินไคโร เป็นครั้งแรก กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความกังวล ความมั่นใจที่พกมาหายไปหมด เพราะเธอไม่รู้เลยว่า เขาพูดอะไรกัน จนกระทั้งออกมาจากสนามบินด้วยความทุกลักทุเล

              เมื่อมาถึงสนามบินแล้วให้นั่งนิ่งๆ อย่าไปไหนและห้ามเอาเอกสารฉบับนั้นให้ใครดู”  คือคำพูดคนที่จัดการให้เธอบินมายังประเทศอียิปต์

              แต่เธอรอคนมารับอยู่ค่อนวัน ก็ไม่เห็นมีคนไทยมารับอย่างที่บอกไว้ จึงตัดสินใจหยิบกระดาษแผ่นที่เธอถือ คือปลายทางที่จะไป ให้คนอาหรับที่เดินอยู่แถวๆนั้นดูว่า เธอจะต้องไปทำงานที่บริษัทนี้ ในที่สุดคนอาหรับผู้นั้น ก็จัดการพาเธอมาขึ้นรถเพื่อจะเดินทางไปยังเมือง เอลกูน่า ตามที่ระบุไว้ในกระดาษแผ่นนั้น

             ตลอดระยะเวลาที่นั่งอยู่บนแท็กซี่กับอาหรับคนนั้น เธอก็กังวลตลอดและกลัวว่าจะถูกนำไปขายตัวหรือไม่ แม้ว่าจะเธอจะกระหายน้ำมากเพราะไม่ได้กินอะไรเลย จะพูดก็ไม่เป็น จึงแอบลงไปกินน้ำก๊อกข้างทางเดิน ก่อนที่เธอจะได้ขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางไปยังเมืองเอลกูน่า

               ทันทีที่เท้าย่างลงบนแผ่นดินเอลกูน่า เธอถึงกับหมดความหวัง เพราะที่แห่งนี้มีอยู่ท่ามกลางทะเลทราย มีตึกไม่กี่หลัง มีร้านขายของอยู่ร้านเดียวกับร้านผลไม้เล็กๆ และที่สำคัญ กระเป๋าเดินทางเธอหายหมดแปรงและยาสีฟันก็ไม่มี ไม่รู้จะไปหาซื้อได้ที่ไหน น้ำก็ไม่ได้อาบตลอดระยะเวลาสามวัน  มีอยู่ร้านหนึ่งแต่ไม่กล้าเข้าเพราะเหมือนร้านบาร์หรือร้านคาราโอเกะในเมืองไทย มีแสงไฟระยิบระยับตลอดเวลา ที่จริงแล้วนั้นคือ ซุปเปอร์มาร์เก็ต นั่นเอง เธอนึกถึงตอนนั้นแล้วก็หัวเราะในความโง่และความเปิ่นของตัวเองทุกที

              จากนั้นเธอก็ได้เริ่มทำงานนวดที่  Steigenberger

              อุปสรรคแรกก็มาถึงทันทีนั่นคือ เรื่องภาษาเธอไม่สามารถจะสื่อสารกับลูกค้าและเจ้านายได้เลย ทุกครั้งหลังจากนวดเธอจะหลบตลอดเวลาโดยที่ไม่ได้ไปเขียนใบเสร็จเพราะเธอไม่รู้หนังสือ เขียนไม่เป็น และเป็นที่มาของการถูกลดเงินเดือน แต่เธอก็ยอมให้ลด ขอแค่อย่าส่งเธอกลับบ้าน เพราะเธอเสียเงินตอนมามากมาย

             วิภา บอกว่า ด้วยความที่เธอเป็นคนซื่อๆ ขี้อาย ชอบยิ้ม เจ้านายจึงพยายามสอนในเรื่องการพูดและทุกครั้งเธอก็จะพูดแค่ว่า see book นั่นหมายถึง ฉันขอดูดิกชันเนอรี่ก่อน และทุกครั้งในการพูดจากับลูกค้าหรือกับใครๆ เธอก็จะใช้คำนี้มาตลอด

             จากนั้นจึงเริ่มฝึกมาเรื่อยๆเก็บวันละคำวันละประโยค แม้ว่าช่วงแรกๆจะใช้คำว่า “ Good morning” ทักทายเพื่อนร่วมงานในทุกเวลาก็ตาม เพราะความที่เธอไม่รู้ในภาษา มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอดีใจมากที่ได้ทิป จากการนวดลูกค้า คือ 50 เพียส ซึ่งเธอคิดว่ามากเพราะเห็นเลข 50 แต่เธอไม่รู้หรอกว่าเท่ากับเงินไทยแค่ 2.50 สตางค์ 

            “ การที่เราไม่รู้ภาษาอังกฤษเลย เป็นปัญหาใหญ่ต่อการเดินทางมาเสี่ยงโชคในต่างแดน ถ้าเรารู้ภาษาอังกฤษดี คงจะเข้าใจในสัญญาว่าจ้างทั้งหมด ป่านนี้คงอยู่อย่างสบาย  แต่เพราะเราอ่านไม่ออกไม่รู้ความหมาย จึงเหมือนกับว่าเรามาโดยไม่มีศักดิ์ศรี ทั้งๆที่เรามาถูกต้อง เราน่าจะได้อยู่ในที่สบาย เลือกที่จะอยู่ได้  “วิภา กล่าวและว่า

แต่เพราะเราไม่รู้ เขาทำให้ตัวเองลำบาก ทั้งที่เจ้านายเป็นคนดี ดูแลเราอย่างดี แต่ทุกอย่างกลับดูเหมือนว่าเราฆ่าตัวเราเอง จึงอยากฝากทุกคนหากจะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ภาษาคือ สิ่งที่สำคัญที่สุด

                หลังจากที่เธอทำงานนวดได้ไม่กี่ปี จึงตัดสินใจบอกหัวหน้าว่า อยากเปลี่ยนอาชีพทำร้านอาหาร เป็นเพราะส่วนตัวเธอเป็นคนชอบทำอาหารและลองทำให้เจ้านายทาน เจ้านายก็ตกลง และให้เธออยู่ห้องเล็กๆเพื่อทำอาหารไทยจำหน่าย 

               และนี่คือที่มาของการเปิดร้านอาหาร แม้จะเป็นห้องเล็กๆ ทำเองเสิร์ฟเอง แต่หลังจากนั้นก็มีแขกเยอะขึ้น ชื่อร้านอาหารไทย ก็ดังขึ้นใน เมืองเอลกูน่า 

              
              เธอก็เริ่มเก็บเงินที่ได้เพียงน้อยนิดสะสมไว้และก็เริ่มตกแต่งร้านมาตลอด ความฝันของเธอเป็นจริง คือ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก หลังจากนั้นก็เลิกอาชีพนวดอย่างเป็นทางการ มุ่งหน้าเข้าสู่อาชีพเจ้าของธุรกิจร้านอาหารอย่างเต็มรูปแบบ

                จนปัจจุบันนี้เป็นเวลา 13 ปีแล้ว ที่เธอมาอยู่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอียิปต์ เธอใช้ภาษาอังกฤษคล่องแคล่ว ในการสื่อสาร ใช้ประสบการณ์ที่เธอมีมา  ใช้ความเข้าใจแขกในหลากหลายเชื้อชาติที่มีความแตกต่างกันในเรื่องการทานอาหาร นี่คือเสน่ห์ของการเป็นเจ้าของร้านอาหาร  จนสามารถเปิดร้านอาหารในตัวเมืองเฮอกาด้า ชื่อ ร้านอาหารไทย และที่เมืองเอลกูน่า ชื่อ White elephant  และร้านนวด ซึ่งโครงการต่อไปที่กำลังคิดจะทำคือ บริษัททัวร์

                แม้วันนี้จะเป็นเจ้าขอวงร้านอาหารไทยในต่างแดน แต่เธอก็ยังเหมือนเดิม ยังเป็นลูกอีสาน ภูมิใจในความเข้มแข็งของเลือดอีสาน

             ทุกวันนี้ ที่ร้านจะเป็นที่ชุมนุมของคนไทยที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ หรือในเมืองอื่นๆที่เดินทางมา ทุกคนจะมานั่งพูดคุยเหมือนสังคมไทยในประเทศไทยไม่มีผิด และ นี่คือสิ่งที่เธอภาคภูมิใจเป็นที่สุด เพราะได้เห็นคนไทย รอยยิ้มไทย และที่สำคัญได้ทานอาหารไทย ด้วยกัน

               
หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร ดิ อะลามี่ คอลัมน์ไลฟสไตล์ ฉบับธันวาคม 2555